ขณะที่ฝูงแกะกำลังหากินกันอยู่ที่ในกลางท้องทุ่งใกล้ป่าใหญ่นั้น ก็ได้มีลูกแกะตัวหนึ่งเดินพลัดหลงและแตกฝูงออกมาตัวหนึ่ง ลูกแกะตัวนั้นเดินเล่นไปอย่างเพลิดเพลินจนหลงเดินถลำเข้าไปในชายป่าลึกไม่มากนัก พอดีตอนนั้นก็ได้มีหมาป่าตัวหนึ่งได้เดินออกมาจากในป่าลึก มันหมายมุ่งหน้าไปยังท้องทุ่ง เแล้วเมื่อมันได้มองไปและได้เห็นลูกแกะที่เดินหลงจากฝูงออกมาตัวเดียวอย่างนั้นเข้า มันให้เป็นดีใจยิ่งนักที่อยู่ๆ ก็ได้มีลาภปากอันโอชะเดินมาให้มันกินอย่างง่ายดายแบบนั้น
“นั่นมันลูกแกะหลงแตกออกมาจากฝูงนี่ แหม…ช่างน่ากินจังแฮะ อย่างนี้ก็หวานคอแร้งน่ะสิ หึหึหึ” มันว่าแล้วก็ย่างสามขุมตรงเข้าไปหมายจะขย้ำจับกินให้หายหิวซะหน่อย
ลูกแกะเมื่อเห็นเช่นนั้นมันให้เป็นตกใจเป็นอย่างมาก และด้วยต้องจนมุมและจนหนทาง มันคิดว่าจะวิ่งหนีย่อมไม่ทันอย่างแน่นอน มันนั่งตัวสั่นและพยายามหันมาใช้ความคิด ทันใดมันได้ร้องตะโกนบอกกับหมาป่าว่า
“อย่าเพิ่งจับข้ากินตอนนี้เลยนะท่าน เพราะข้าเพิ่งกินหญ้าเข้าไปหยกๆ เมื่อสักครู่นี้เอง ยังไม่ย่อยและกลายเป็นเนื้ออร่อยๆ อย่างที่ท่านชอบกินหรอก” ลูกแกะพยายามหว่านล้อม “เอาอย่างนี้ไหม จริงหรือไม่? ข่าวเล่าลือแพร่สะพัดไปทั่วท้องทุ่งกว้างว่าท่านนั้นเป่าปี่ได้ไพเพราะจับใจเสียเหลือเกิน เราอยากขอความกรุณาจากท่านให้ช่วยเป่าปี่ให้เราฟังด้วยเถิด เราจะได้เต้นรำเพื่อออกกำลังกายสักนิดให้หญ้าที่อยู่ในท้องของเราเมื่อสักครู่นี้มันจะได้ย่อยเร็วๆ และกลายเป็นเนื้ออร่อยๆ ให้ท่านกินสมใจไง เพราะไหนๆ เราก็จะต้องโดนท่านกินอยู่แล้ว เราไม่อยากให้ท่านผิดหวังนะเนี่ย”
เจ้าหมาป่าหยุดใช้ความคิด ก่อนที่มันจะตอบออกมาว่า “ได้สิเจ้าแกะน้อย ก่อนจะตายเจ้าจะได้ฟังเพลงปี่อันไพเราะจับใจของข้า”
แล้วมันก็หยิบปี่คู่ชีพของมันออกมา แล้วลงนั่งสองขาเอาหลังพิงขอนไม้ใหญ่ นั่งยองๆ เป่าปี่ให้ลูกแกะตัวนั้น เต้นรำ ” ปี้ จา ระ…ปี้ จา ระ…” มันพยายามเป่าปี่ให้เข้าทำนองและเสียงดังที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ เพื่อให้ลูกแกะเต้น เนื้อจะได้อร่อยๆ อย่างลูกแกะมันว่านั่นแหละ ดูสิมันเชื่อจริงๆ ด้วย
ส่วนลูกแกะนั้นก็พยายามเต้นรำให้เข้ากับจังหวะเสียงปี่ “โอ้ เก่งมากท่านหมาป่า เก่งจริงๆ เป่าอีกเป่าให้ดังขึ้นไปอีกสิท่าน นี่เนื้อของเรากำลังเริ่มจะอร่อยขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วนะ”
เจ้าหมาป่าเริ่มมามันกับการเป่าปี่เสียแล้ว มันรวบรวมพลังอย่างเต็มที่แล้วตั้งหน้าตั้งตาเป่าปี่จนสุดเสียงเลยทีเดียวเชียว “ปี้ จา ระ…ปี้ จา ระ…ปี้ จา ระ…ปี้ จา ระ…ปู้ ๆๆๆ”
เสียงปี่ดังระงมสนั่นลั่นออกไปจนทั่วทั้งทุ่งกว้าง ครั้นคนเลี้ยงแกะและสุนัขล่าเนื้อที่กำลังเดินตามหาลูกแกะตัวที่พลัดหลงออกมาจากฝูงอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงปี่ก็เอะใจ
“เอ๊ะ นั่นมันเสียงปี่นี่! ใครมาเป่าปี่แถวๆ นี้นะ” ครั้นเมื่อเขากับสุนัขล่าเนื้อวิ่งตามเสียงปี่มาอย่างเร็วรี่ ก็ได้เห็นว่าหมาป่ากำลังยืนเป่าปี่อยู่ โดยมีลูกแกะที่แตกฝูงออกมาตัวที่เขากำลังตามหาอยู่กำลังเต้นรำอยู่ตรงหน้าหมาป่าเข้าอย่างนั้น เขาตกใจจึงรีบตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า
“โอ๊ะ อ้ายหมาป่า หยุดนะ! นั่นมันลูกแกะของข้าว๋อย เร็วพวกเอ็งไล่ตามกัดมันเลย เร็ว!” ว่าแล้วเขาก็หันมาออกคำสั่งให้สุนัขล่าเนื้อของเขาให้รีบไปกัดเจ้าหมาป่าทันที
สุนัขล่าเนื้อเมื่อได้รับคำสั่งก็เห่าเสียงดังและออกวิ่งเพื่อไล่กวดทันที แต่ก่อนที่เจ้าหมาป่าจะจำเป็นที่จะต้องสวมวิญญานนักวิ่งเหรียญทองด้วยความจำเป็นไปเสียแล้วนั้น มันก็ได้พูดกับลูกแกะหัวดีตัวนั้นว่า
“เจ้าแกะน้อย ข้าโดนเจ้าหลอกเข้าให้เต็มเปาเสียแล้ว เวรเอ้ย!” หมาป่าร้องตะโกนก้อง พร้อมกับออกวิ่งเพื่อหนีสุนัขล่าเนื้อจนสุดฝีเท้า
“สมน้ำหน้าตัวตัวเอง ก็ข้าเป็นเพียงหมาป่า มีหน้าที่เพียงเห่าหอนและจับสัตว์กินเป็นอาหารเท่านั้น แต่นี่กลับเผยอหน้ามานั่งเป่าปี่ให้เจ้าแกะฟังเสียอีก สมควรอย่างยิ่งแล้วที่ข้าจะต้องวิ่งหนีเขา โฮ โฮ ๆๆๆๆ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“การกระทำสิ่งที่ไม่ใช่ภารกิจและเป็นวิสัยของตนนั้น ย่อมเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เสียผลประโยชน์ของตนเองขึ้นมาได้เหมือนกัน”
ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion