7 อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยพบ

.

            อุกกาบาตชนโลกไม่ใช่เหตุการณ์ที่มีเพียงแต่ในภาพยนตร์ไซไฟที่เราชอบดูกันเท่านั้น แต่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ แถมยังมากกว่า 1 ครั้งเสียด้วย เพียงแต่ว่าไม่ได้พุ่งชนรุนแรงและก้อนใหญ่มากพอจะสร้างความเสียหายให้กับโลกร้ายแรงแบบในหนังเท่านั้นเอง

          อย่างไรก็ดี หลังจากที่อุกกาบาตเหล่านั้นตกลงมายังโลก ก็มีไม่น้อยที่ถูกค้นพบและกลายมาเป็นวัตถุหายากให้คนได้แวะเวียนไปเยี่ยมชมกันด้วย แถมยังมีบางชิ้นที่มีขนาดใหญ่เสียจนน่าตกใจอีกต่างหาก ซึ่งวันนี้เราก็ได้รวบรวม 7 อันดับอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยพบ จากเว็บไซต์ Environmental Graffiti มาฝากกันแล้ว ลองมาดูซิว่าแต่ละอันมีขนาดเท่าไหร่ อยู่ที่ไหน และเก่าแก่แค่ไหนกัน

.

.

1. โฮบา

            อุกกาบาตโฮบานี้ได้อันดับ 1 ไปครองสบาย ๆ ด้วยน้ำหนักมากถึง 60 ตัน และขนาดราว 6.5 ตารางเมตร ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเมืองกรูตฟอนไตน์ แคว้นโอตโจซอนด์จูปา ประเทศนามิเบีย ต้องแวะมาดูกันให้ได้ โดยน้ำหนักที่มหาศาลของมันทำให้อุกกาบาตที่ประกอบไปด้วย เหล็ก 84% และนิเกิล 16% นี้ ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่มีการขยับเขยื้อนไปไหน หลังจากที่ถูกค้นพบโดยชาวนาในปี 1920 ซึ่งคาดกันว่ามันน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 80,000 ปี และถูกชั้นบรรยากาศชะลอความเร็วเลยไม่บุบสลายแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น รูปทรงราบเรียบแปลกตาของมันอาจมาจากการที่มันลงสู่พื้นแบบตกกระดอนคล้ายการโยนหินลงบนผิวน้ำก็ได้

.

.

.

2. เอล คาโก

            ด้วยน้ำหนัก 37 ตัน และเป็นตัวสร้างหลุมยุบขนาด 60 ตารางกิโลเมตร แต่ชิ้นส่วนอุกกาบาต “เอล คาโก” จากสะเก็ดดาว “คัมโบ เดล เชโล” ในประเทศอาร์เจนตินานี้ หากเอามานับรวมกันแล้วจะได้น้ำหนักราว 100 ตัน และจัดว่าเป็นวัตถุจากนอกโลกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 เท่าที่มีการถูกค้นพบ และมีอายุประมาณ 4,000 – 5,000 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์นักล่าอุกกาบาตอย่าง “โรเบิร์ต ฮัก” พยายามจะขโมยชิ้นส่วนอุกกาบาตนี้มาแล้ว แต่ถูกยับยั้งได้โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์เจนตินา และเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนนี้ออกนอกประเทศไปแล้ว

.

.

.

3. อาห์นิกิโต

            สะเก็ดดาวขนาดใหญ่ที่สุดที่ผ่านการเคลื่อนย้ายของมนุษย์มาแล้วชิ้นนี้ มีน้ำหนักกว่า 34 ตันเลยทีเดียว โดยมันเป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดจากอุกกาบาต “เคป ยอร์ก” และนับแต่ปี ค.ศ. 1818 นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามค้นหาชิ้นส่วนสะเก็ดดาวนี้มาตลอด จนกระทั้ง ปี ค.ศ. 1984 “โรเบิร์ต อี เพียรี” นักสำรวจมหาสมุทรอาร์กติกชาวอเมริกันก็ค้นพบมันในที่สุด แม้จะต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ในการขนย้ายไปขายยังพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกาก็ตาม โดยชิ้นส่วนอุกกาบาตก็อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

.

.

.

4. บาคุริบิโต

            ตั้งแต่มีการค้นพบสะเก็ดดาวชิ้นนี้ มันก็ได้ชื่อว่าเป็นสะเก็ดดาวที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศเม็กซิโกมาตลอด ซึ่งอุกกาบาตยาว 4 เมตรหนัก 22 ตันชิ้นนี้ ถูกพบโดย “กิลเบิร์ต เอลลิส ไบเลย์” นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1892 ท่ามกลางความช่วยเหลือของชาวบ้านพื้นเมือง ทำให้มันถูกตั้งชื่อตามชุมชนที่ขุดพบ และปัจจุบันมันก็ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ “Centro de Ciencias de Sinaloa” ในเมืองคูเลียคัน ประเทศเม็กซิโก

.

.

.

5. อักปาลิลิค

            ชิ้นส่วนจากอุกกาบาต “เคป ยอร์ก” ที่ชื่อว่า “อักปาลิลิค” นี้ คาดว่ามีอายุราว 10,000 ปีแล้ว โดยมันถูกใช้เป็นแหล่งแร่โลหะเพื่อเอาไปใช้ทำอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ มาก่อน จนกระทั่งข่าวของมันไปถึงหูนักวิทยาศาสตร์เข้า จึงได้ส่งทีมค้นหาออกไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1818 – 1883 และก็ล้มเหลวกลับมาทุกครั้ง จวบจนปี ค.ศ. 1961 “วาน เอฟ บุชวาลด์” ก็พบชิ้นส่วนหนักราว 20 ตันนี้เข้า มันจึงได้ถูกนำมาแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาในเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก อยู่ทุกวันนี้

.

.

.

6. เอ็มโบซี

            สะเก็ดดาวในประเทศแทนซาเนียนี้ ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1930 และมีน้ำหนักราว 16 ตัน ซึ่งเดิมทีมันถูกพบในขณะที่ครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ใต้ดินลึกพอสมควร แต่ปัจจุบันดินบริเวณนั้นได้ถูกกำจัดออกให้เรามองเห็นสะเก็ดดาวก้อนนี้ได้ อย่างชัดเจนแล้ว รวมทั้งสร้างฐานเอาไว้รองรับด้านล่างด้วย ส่วนหลุมที่เกิดจากการขุดเอ็มโบซีขึ้นมานั้น ยังคงอยู่ในสภาพเดิม

.

.

.

7. วิลลาเมต

            แม้ว่ามันจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 7 ของโลก แต่ขนาด 7.8 ตารางเมตร และน้ำหนักราว 15.5 ตัน ก็ทำให้วิลลาเมตเป็นสะเก็ดดาวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว โดยก่อนจะถูกเอามาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน มันถูกค้นพบโดย “เอลลิส ฮิวจ์” ในปี ค.ศ. 1902 และใช้เวลาขนย้ายกว่า 3 เดือน ซึ่งเดิมทีมันตกอยู่ในที่ดินของบริษัท โอเรกอน ไอออน แอนด์ สตีล ที่อ้างความเป็นเจ้าของวิลลาเมตมาก่อน
            ทั้งนี้ นอกจากชิ้นส่วนอุกกาบาตที่เราเห็นอยู่นี้จะเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไว้ให้เราศึกษาเรื่องราวในอวกาศกันต่อไปในอนาคตแล้ว ยังเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจให้เราได้นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาอีกด้วย ฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การรักษาและแวะไปเยี่ยมชมกับตาดูสักครั้ง

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://hilight.kapook.com

ที่มา ::ไทยรัฐ

ภาพประกอบจาก :: Planeta Pia, Americam Museum of history, Sophi Mania, Cometa Site, Stroemming, Americam Museum of history

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *