อาหารเพื่อความงาม

          การทานอาหารให้เหมาะกับสภาพผิวของเราช่วยเพิ่มความงามให้กับเราและยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วย

          ผิวแห้ง เพื่อให้ผิวแห้งกร้านกลับมานุ่มชุ่มชื้น ควรรับประทานที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ อย่างผักที่มีสีเขียวและสีเหลือง เช่น ผักโขม ฟักทอง และควรรับประทานอาหารประเภท นม เนย ถั่ว งา รวมทั้งอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี เช่น กล้วย นม ไข่ เนื้อแดง ปลา ตับ

         

          ผิวมัน ความมันเป็นสาเหตุของสิว ควรรับประทานผลไม้ ผักสีเขียวและเหลือง ส่วนอาหารจำพวกช็อกโกแลต ของทอด และขนม ควรกินให้น้อยลง

          ผิวแพ้ง่าย วิตามินบีเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวแพ้ง่าย นอกจากนี้ ผัก ลูกพลับ และส้มยังช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ทำให้ผิวแพ้ง่ายมีภูมิต้านทานมากขึ้น และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกาเฟอีน

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge2 จาก Msolution

Tags: อาหารผิว, อาหารเพื่อความงาม

อาหารที่เหมาะกับสภาพผิว

          กระและขี้แมลงวันขึ้น แสดงว่าระบบหมุนเวียนเลือดผิดปกติ ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ ส้ม หรือชาเขียว

          ถ้าหน้าซีดเหลือง แสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ควรงดน้ำอัดลมและดื่มน้ำขิง กินมะละกอเป็นประจำและนวดหน้า

           ถ้าหน้าหมองคล้า แสดงว่าเกิดอาการผิดปกติที่ไต ความเครียด หรือนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ หลังบ่ายสองควรงดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น โกโก้ กาแฟ น้ำอัดลม

          ถ้าหน้าเป็นสีแดง แสดงว่ามีปัญหาที่หัวใจ หัวใจทำงานผิดปกติ ควรดื่มชาเขียวหรือพอกหน้าด้วยเหล้าจีน

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge2 จาก Msolution

Tags: สภาพผิว, อาหารผิว

อัตราค่าปรับตามกฎหมายจราจรทางบก

         ว่ากันด้วยเรื่องของกฎจราจรซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถติดกว่าที่ควรจะเป็น โดยต้นเหตุหลักๆ อยู่ที่ผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามกฎ เรียกได้ว่าขับรถเอาแต่ใจชนิดจะปาดซ้ายแซงขวา ก็ทำกันตามใจชอบไม่แคร์สายตาคุณตำรวจจราจรเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าทาง บก.จร. จะออกกฎคุมเข้มแล้วก็ตาม

         และเมื่อปัญหารถเยอะบวกกับผู้ฝ่าฝืนกฎ ทำให้รถติดหนึบยิ่งเข้าไปใหญ่ ทาง บก.จร. ก็เลยขอกลับมาใช้การตั้งด่านในช่วงกลางวันอีกครั้ง หลังจากที่ประกาศยกเลิกใช้ไปเมื่อปลายปีก่อน งานนี้ผู้ขับขี่ที่ชอบลักไก่คงร้อนๆ หนาวๆ กันน่าดู

          ดังนั้นจึงขอนำข้อมูลเกี่ยวกับอัตราค่าปรับตาม พ.ร.บ. จราจร พ.ศ. 2552 มาให้คนใช้รถใช้ถนนได้ทราบกันว่า หากเราทำผิดกฎตามกฎหมายแล้วจะต้องเสียค่าปรับเท่าไร (เผื่อไปเจอคุณตำรวจลักไก่จะได้ไม่ต้องควักเงินเกินค่าปรับยังไงล่ะ) 

          ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ. 2538) และการเปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิดนั้นให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กรมตำรวจ) ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 และเพิ่มเติมฉบับที่ 4 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2540 ตามลำดับ

1. นำรถที่ไม่มั่นคงแข็งแรงอาจเกิดอันตรายหรือทำให้เสื่อมเสีย สุขภาพอนามัย มาใช้ในทางเดินรถ

อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท 
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

2. นำรถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาใช้ในทางเดินรถ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

3. นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดก๊าซ ฝุ่นควัน ละอองเคมี เกินเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดมาใช้ในทางเดินรถ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 500 บาท

4. นำรถที่เครื่องยนต์ก่อให้เกิดเสียงเกินเกณฑ์ที่กำหนดมาใช้ ในทางเดินรถ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 500 บาท

5. ขับรถในทางไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างในเวลาที่มีแสง สว่างไม่เพียงพอที่จะมองเห็นคน รถ หรือสิ่งกีดขวาง ในทางได้โดยชัดแจ้งภายในระยะ 150 เมตร

 อัตราโทษ : 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

6. ใช้สัญญาณไฟวับวาบผิดเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

7. ขับรถบรรทุกของยื่นเกินความยาวของตัวรถในทางเดิน รถไม่ติดธงสีแดง ไว้ตอนปลายสุดให้มองเห็นได้ภายในระยะ 150 เมตร

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด :ปรับ 300 บาท

8. ขับรถบรรทุกวัตถุระเบิด หรือ วัตถุอันตรายไม่จัดให้มีป้ายแสดงถึงวัตถุ ที่บรรทุก

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

9. ขับรถไม่จัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุก ตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจาก รถอันอาจก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ ทำให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพ อนามัยแก่ประชาชนหรือก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

10. ขับรถไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำให้ปรากฏ ในทาง หรือที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ทราบ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

11. ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

12. ไม่หยุดรถหลังเส้น ให้รถหยุดเมื่อมีสัญญาณไฟแดง

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

13. ขับรถไม่ปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่แสดงให้ปรากฏด้วยมือ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

14. ไม่หยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด หรือหยุดรถห่างจากพนักงานเจ้าหน้าที่น้อยกว่าสามเมตร

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

15. ทำให้ปรากฏซึ่งสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่กำหนดในทางเดินรถโดยไม่มีอำนาจ

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

16. ไม่ขับรถที่มีความเร็วช้าให้ใกล้ขอบทางด้านซ้ายในทางเดินรถที่มีสวนกันได้

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200-500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

17. ไม่ขับรถบรรทุก รถบรรทุกคนโดยสารรถจักรยานยนต์ที่มีความเร็วช้าในช่องเดินรถซ้ายสุด ในทางเดินรถที่แบ่งช่องเดินรถไว้ตั้งแต่สองช่องขึ้นไป

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท

18. เลี้ยวรถหรือเปลี่ยนช่องเดินรถโดยไม่ให้สัญญาณ

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

19. ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท

20. ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000 –10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

21. ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400 – 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

22. ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร (เว้นแต่รถเข็นสำหรับทารก คนป่วย หรือคนพิการ)

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

23. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นทางด้านซ้ายมือโดยไม่มีเหตุอันสมควร

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

24. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นขณะขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ในทางโค้ง ซึ่งไม่มีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

25. ขับรถแซงขึ้นหน้ารถอื่นภายในระยะ 30 เมตร ก่อนถึงทางแยก

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

26. ขับรถออกจากที่จอดเมื่อมีรถจอดหรือสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้าโดยไม่ให้สัญญาณมือหรือแขน หรือสัญญาณไฟ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

27. กลับรถในทางเดินรถกีดขวางการจราจร

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200-500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

28. กลับรถในระยะ 100 เมตร จากเชิงสะพาน

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400-1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

29. กลับรถที่ทางร่วมทางแยก (เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้กลับรถได้)

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 400- 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

30. หยุดรถหรือจอดรถในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรที่อธิบดีกำหนดในทางเดินรถโดยไม่มีอำนาจ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

31. ไม่จอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

32. จอดรถไม่ขนานชิดกับขอบทางหรือไหล่ทางในระยะห่างเกินกว่า 25 เซนติเมตร 

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

33. หยุดรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุผลสมควร

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

34. หยุดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคาร หรือทางเดินรถ โดยไม่มีเหตุผลสมควร

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

35. จอดรถบนทางเท้า

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

36. จอดรถบนสะพานหรือในอุโมงค์

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท

37.จอดรถในทางร่วมทางแยก หรือภายในระยะ 10 เมตร จากทางร่วมทางแยก

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

38. จอดรถในเขตที่มีเครื่องหมายห้ามจอด

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

39. จอดรถภายในระยะ 15 เมตร ก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทางและเลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

40. จอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

42.ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเครื่องมือบังคับ รถ มิให้เคลื่อนย้าย

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือ ปรับไม่เกิน 5,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

43. จอดรถในทางเดินรถหรือไหล่ทางโดยไม่เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างเพียงพอ ที่จะเห็นรถที่จอดนั้นได้ชัดแจ้งในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200 – 500บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

44.ขับรถเร็วเกินอัตรากำหนด

 อัตราโทษ : ปรับตั้งแต่ 200 – 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 400 บาท

45. ไม่ยอมให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นผ่านไปก่อน เมื่อขับรถถึงทางร่วมทาง แยกทีหลัง

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

46.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่น แล้วไม่หยุดช่วยเหลือแสดงตัว และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับตั้งแต่ 2,000 –10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

47. ขับรถแท็กซี่ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร (เว้นแต่ กรณีจะเกิดอันตรายแก่ตนหรือแก่คนโดยสาร)

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

48.ไม่เดินบนทางเท้าหรือไหล่ทางเมื่อทางนั้น มีทางเท้าหรือไหล่ทางอยู่ข้างทางเดินรถ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 200 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 100 บาท

49.เดินข้ามทางนอกทางข้าม เมื่อมีทางข้ามอยู่ภายในระยะ100 เมตร

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 200 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 100 บาท

50.ขี่ จูง ไล่ ต้อน หรือปล่อยสัตว์ไปบนทาง ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร และไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

51.วาง ตั้ง ยื่น หรือ แขวนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร โดยไม่ได้รับอนุญาต

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

52. ขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย (มิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช ผู้นับถือลัทธิศาสนาที่ใช้ผ้าโพกศรีษะตามประเพณีนิยม

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

53.โดยสารรถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย (มิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุสามเณร นักพรต นักบวช ผู้นับถือลัทธิศาสนาที่ใช้ผ้าโพกศรีษะตามประเพณีนิยม

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

54. ยินยอมให้ผู้อื่นนั่งตอนหน้าแถวเดียวกับคนขับเกิน 2 คน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

55. เป็นผู้ขับรถโดยสารประจำทาง รถบรรทุกคนโดยสารรถโรงเรียน รถแท็กซี่ ยินยอมให้ผู้โดยสารขึ้นหรือลง รถยนต์ในขณะที่รถหยุดเพื่อรอสัญญาณไฟ หรือหยุดเพราะติดการจราจร 

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 500 บาท 
 อัตรากำหนด : ปรับ 200 บาท

56. ขับรถตามหลังรถฉุกเฉินซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ในระยะไม่ถึง 50 เมตร 

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท 
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

57. กระทำด้วยประการใด ๆ บนทางอันเป็นการกีดขวางของการจราจร 

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท 
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

58. ฝ่าฝืนคำสั่งข้อบังคับหรือระเบียบของเจ้าพนักงานจราจรซึ่งสั่งหรือประกาศ ห้าม หยุดหรือ จอด 

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท
 อัตรากำหนด : ปรับ 300 บาท

ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ.2537)

1. ใช้รถไม่จดทะเบียน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

2. ใช้รถไม่เสียภาษีประจำปีภายในเขตกำหนด

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

3. ใช้รถไม่แสดงเครื่องหมายเสียภาษี

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

4. ใช้รถไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

5. ใช้รถที่มีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์ไม่ครบถ้วน

 อัตราโทษ :ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

6. เปลี่ยนแปลงสีของรถผิดจากที่จดทะเบียนไว้

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

7. เปลี่ยนแปลงตัวรถหรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดจากไปที่ จดทะเบียน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

8. ขับรถยนตร์ที่มีไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อม (รถป้ายแดง) ระหว่างพระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น เวลากลางคืน) โดยไม่มีความจำเป็นและได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

9. ขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาตขับรถ

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

10. ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับรถที่จะแสดงได้ทันที (เว้นแต่ผู้ฝึกหัดขับรถตาม)

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

11. ขับรถไม่มีสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถที่จะแสดงได้ทันที

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

12. ยินยอมให้ผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับรถ เข้าขับรถของตน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

13. รับจ้างรถบรรทุกคนโดยสาร โดยใช้รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสาร ไม่เกิน 7 คน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

14. ขับรถระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถ

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

15. ใช้เครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้สำหรับรถคันหนึ่งกับรถ อีกคันหนึ่ง

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ข้อหา ฐานความผิด บทมาตรา และอัตราโทษ ตาม พ.ร.บ.ขนส่งทางบก พ.ศ.2522 (แก้ไขเพิ่มเติมถึง พ.ศ.2537)
1.ประกอบการขนส่งประจำทางโดยไม่ได้รับอนุญาต

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางโดยไม่ได้รับอนุญาต

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. ประกอบการขนส่งด้วยรถขนาดเล็กโดยไม่ได้รับอนุญาต

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4. ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

5. เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งใช้รถผิดประเภท

 อัตราโทษ : จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

6. เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทาง ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดจำนวนรถที่ต้องการใช้ใน การประกอบการขนส่ง ตามเส้นทางที่ใช้ในการประกอบ การขนส่ง

 อัตราโทษ : ปรับตามจำนวนรถที่ขาด คันละไม่เกิน 5,000 บาท ต่อหนึ่งวัน จนกว่าปฏิบัติให้ถูกต้อง

7. เป็นผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทาง ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด ลักษณะ ชนิด ขนาด และสีของรถ และเครื่องหมายของผู้ประกอบการขนส่งที่ต้องให้ปรากฏ ประจำรถทุกคัน

 อัตราโทษ : ปรับไม่เกิน 50,000 บาท

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://www.kroobannok.com

ที่มา :: www.kapook.com, trafficpolice.go.th , highwaypolice.org

อะไรคือตัวการสำคัญที่ทำให้คุณทำงานช้าลง

          เคยสังเกตไหมว่าทำไมเพื่อนร่วมงานบางคนของคุณทำงานได้รวดเร็วฉับไวเสียจริงๆ แถมยังเป๊ะไม่มีพลาดอีกต่างหาก แต่พอลองมาดูตัวเองแล้ว กลับพบข้อผิดพลาดมากมาย รวมทั้งใช้เวลามากกว่าเขาเป็นเท่าตัวเสียด้วยซ้ำ ที่เป็นแบบนี้อาจเพราะคุณกำลังเสียสมาธิกับเรื่องงานจากการรบกวนของสิ่งเหล่านี้อยู่ก็เป็นได้ ซึ่งตัวขัดขวางการทำงานที่ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูข้อมูลที่นำฝากกันเลยดีกว่า

 

 

 

 

     1. โทรศัพท์มือถือ

 

         จริงอยู่ว่าสมัยนี้คนเราแทบขาดมือถือกันไม่ได้เลยทีเดียว เพราะมือถือเครื่องเดียวสามารถใช้ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง จะดูหนัง ฟังเพลง เล่นอินเทอร์เน็ต หรือแชทคุยกับเพื่อนก็ได้ทั้งนั้น แต่ควรเก็บไว้เล่นนอกเวลางานดีกว่าไหม เพราะเจ้าเครื่องมือสื่อสารเล็กจิ๋วนี่เป็นตัวการสำคัญที่รบกวนสมาธิได้ดีเชียว จากการที่คุณเอาแต่คอยจดจ้องรอแชทรอดูข้อความใหม่ ๆ จากเพื่อน ๆ อยู่ตลอด หรือแม้แต่เล่นเกมเก็บของ แล้วแบบนี้จะเอาเวลาไหนไปทำงานล่ะ

 

     2. ท่องเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก

 

         ใครรู้ตัวว่าชอบเข้าเว็บไซต์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ ก็ปิดไปได้แล้วล่ะ เพราะเวลาเล่นบางทีมันหยุดไม่ได้จริง ๆ นะ ลองสังเกตดูสิว่าคุณใช้เวลากับมันนานเท่าไหร่ในแต่ละวัน แม้คุณจะมองว่าตัวเองเพียงแค่ส่องดูความเคลื่อนไหวของเพื่อน ๆ แค่แป๊บเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเอาเวลาที่คุณเล่นไปรวม ๆ กันดู ก็มากพอจะทำงานเสร็จได้หลายชิ้นเลยใช่ไหมล่ะ

 

     3. เช็กอีเมล

 

         การที่เราต้องมาคอยนั่งเช็กอีเมลที่เข้ามา และตอบกลับไปนั้นกินเวลาไม่ใช้น้อยเลยทีเดียว โดยกว่าจะตอบแต่ละทีเราก็ต้องอ่านอย่างละเอียด แล้วตอนที่พิมพ์ตอบกลับไปก็เสียเวลาไม่ใช่เล่น ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้ทำงานที่จำเป็นต้องคอยเช็กอีเมลที่เข้ามาตลอดเวลา ก็ค่อยกลับไปนั่งเช็กอีเมลให้เสร็จเรียบร้อยที่บ้านดีกว่านะ

.

.

 

 

     4. แชทอย่างเมามันส์

 

          โปรแกรมแชทที่บริษัทเขาลงไว้ให้ที่เครื่องของคุณ มีไว้เพื่อให้คุณใช้ติดต่อเรื่องงานต่างหากล่ะ ไม่ได้ทำไว้นั่งเม้าท์กันสนุกปากหรือใช้จีบสาวสักหน่อย แถมเวลาที่คุณนั่งคุยผ่านโปรแกรมนี้นาน ๆ ยังกินเวลาไปมากอีกต่างหาก คุณจึงควรใช้ให้ถูกวิธี โดยเอาไว้ติดต่อเรื่องงานก็พอแล้ว ถ้าอยากคุยกันจริง ๆ ค่อยเก็บไว้คุยตอนช่วงพักก็ได้

 

      5. พักดื่มกาแฟ

 

         ยอมรับเถอะว่าเวลาที่คุณออกไปพักดื่มกาแฟเนี่ย คุณไม่ได้แค่เดินไปชงกาแฟแล้วกลับมานั่งจิบที่โต๊ะเฉย ๆ หรอก แต่คุณอดไม่ได้ที่จะเดินเอ้อระเหยฆ่าเวลา หรือพยายามทำอะไรช้า ๆ ให้เสียเวลามากหน่อยด้วยใช่ไหมล่ะ ซึ่งเวลาที่คุณใช้ตอนนั้น อาจมากพอจะทำงานเสร็จเพิ่มขึ้นสบาย ๆ จนได้กลับบ้านเร็วขึ้นเลยด้วยซ้ำ

 

     6. นั่งเม้าท์กับเพื่อนร่วมงาน

 

         จริงอยู่ว่าการคลายเครียดจากงานที่น่าปวดหัว ด้วยการเข้าไปร่วมวงเม้าท์กับเพื่อน ๆ บ้างก็คงดีไม่น้อยอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเพื่อนของคุณเป็นคนช่างพูด เม้าท์ทีนานจนกินเวลางานก็คงไม่ไหวเหมือนกันนะ แถมถ้าเขาไปนินทาใครเข้า ยังอาจทำให้เรามีเอี่ยวกับเรื่องดราม่าที่ไม่อยากพบเจอเอาได้ง่าย ๆ อีกต่างหาก เพราะฉะนั้นคุณจึงควรจับกลุ่มคุยแค่พอเข้าสังคมหรือเลือกเวลาให้เหมาะสมก็พอแล้ว ไม่ต้องโม้นานเกินควร และถ้าเขาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด ก็ควรปลีกตัวออกมาแต่เนิ่น ๆ ด้วย

.

.

 

 

 

     7. ทานจุบจิบ

 

         หนุ่มออฟฟิศทั้งหลายอาจติดเอาขนมไปกินในระหว่างทำงานแก้เซ็งด้วย หรืออาจซื้อเอาตามร้านแถวที่ทำงานก็ได้ ซึ่งคุณควรรู้ไว้ว่าการออกมานั่งกินขนมพวกนี้กับเพื่อน ๆ นั้นจะกินเวลายาวนานกว่าที่คุณคิดแน่นอน จากการที่มีเพื่อนมาขอแบ่งไปกิน หรือชวนคุยโน่นนี่จนยาว แถมการนั่งกินจุุบจิบแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ ยังเป็นการเพิ่มน้ำหนักจนคุณกลายเป็นหนุ่มอวบอย่างรวดเร็วอีกต่างหาก

 

     8. เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปน

 

         เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่คนเราต้องพบเจอกับเรื่องเศร้ากันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะสูญเสียคนรัก มีปัญหาฝืดเคืองเรื่องเงิน หรือทะเลาะกับใครสักคน แต่คุณควรแยกแยะ และไม่เอาเรื่องเหล่านั้นมาปะปนกับเรื่องงานเด็ดขาด เพราะคนที่คิดจะก้าวหน้าก็ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นพอจะไม่ปล่อยให้ปัญหาส่วนตัวมารบกวนการทำงาน

 

     9. เปิดเพลงฟัง

 

         เข้าใจดีว่าบางทีการเปิดเพลงฟังคลอไปด้วย ก็ช่วยให้เรารู้สึกเพลินดีเหมือนกันใช่ไหมล่ะ แต่รู้ไว้เถอะว่าบางทีเพลงพวกนี้ก็กลายเป็นเสียงรบกวนได้เหมือนกัน หากคุณทำงานจำเป็นต้องใช้สมาธิจดจ่อมาก ๆ ซึ่งถ้าการฟังเพลงส่งผลกระทบจนทำงานผิดพลาดเสียหายขึ้นมาเมื่อไหร่ คุณอาจต้องแบกรับความรับผิดชอบเหนือความคาดหมายก็ได้

 

         และตอนนี้ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าอะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำงานของตัวเอง ก็พยายามหลีกเลี่ยงซะนะครับ ความสำเร็จในหน้าที่การงานจะได้อยู่ใกล้แค่เอื้อมยังไงล่ะ

.

.

.

.

.

.

 

อวสาน Hotmail ไมโครซอฟท์เปิดตัว Outlook.com แล้ว

 

 

 

          ไมโครซอฟท์แจ้งว่าได้เริ่มย้ายบัญชีอีเมลใน Hotmail.com ไปยัง Outlook.com แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยที่ข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้จะยังคงเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง 

          ไมโครซอฟท์แถลงเปิดตัวการปรับปรุงบริการอีเมลอย่างเป็นทางการว่า การย้ายบัญชีของผู้ใช้ Hotmail.com ไปยัง Outlook.com เป็นไปอย่างราบรื่นและอัตโนมัติ ข้อมูลทุกอย่างของผู้ใช้ตั้งแต่ที่อยู่อีเมล รหัสผ่าน รายชื่อผู้ติดต่อ และอื่นๆ จะคงเหมือนเดิม โดยผู้ใช้ที่ยังไม่ทำการอัพเดท ระบบจะทำการโอนข้อมูลทั้งหมดโดยอัตโนมัติไปยังระบบใหม่ภายในกลางปีนี้ 

          นอกจากนั้น ผู้ใช้ยังสามารถส่งไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ได้มากขึ้นกว่าเดิม เช่นการส่งไฟล์ภาพถ่ายได้หลายร้อยรูปพร้อมๆ กัน รายชื่อผู้ใช้จะอัพเดทข้อมูลการติดต่อกับโพสต์ในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์และสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ ให้โดยอัตโนมัติ รวมถึงจะมีโฆษณาน้อยลงกว่าเดิมถึง 60% 

          ไมโครซอฟท์ได้ประกาศตั้งแต่ปีก่อนแล้วว่า จะปรับปรุงบริการอีเมลให้รองรับผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และให้สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และลิงก์อื่น อีกทั้งยังสามารถส่งภาพถ่ายและวิดีโอจำนวนมากได้ในข้อความเดียว โดยในช่วง 6 เดือนแรกที่ทดลองเปิด Outlook.com มีผู้ใช้บริการอย่างสม่ำเสมอมากถึง 60 ล้านคน อนึ่ง Hotmail เป็นหนึ่งในบริการอีเมลแรกๆ ของโลก เปิดตัวเมื่อปี 2539

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://www.kroobannok.com/

ที่มา :: มติชนออนไลน์

Tags: Hotmail, Outlook.com, ไมโครซอฟท์

หอมหัวใหญ่ช่วยเจริญอาหาร

          ไม่เพียงแต่เด็กเท่านั้นนะคะที่เบื่ออาหาร คนสูงอายุจำนวนมากก็มีอาการเบื่ออาหารเหมือนกัน

          เรามีสูตรอาหารที่กินดีมีประโยชน์ เป็นยากระตุ้นความอยากอาหารที่สำคัญ ไม่ต้องสิ้นเปลืองอาหารโดยใช่เหตุค่ะ

          สูตรที่ว่านี้คือผักใกล้ตัวในหม้อซุปอย่าง “หอมหัวใหญ่” วิธีการคือ ใช้หอมหัวใหญ่ 60 กรัม ผัดกับน้ำมันพืชเล็กน้อย กินเป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร

          นอกจากนี้ หอมหัวใหญ่ยังมีสรรคุณช่วยบำบัดโรคไขมันในเส้นเลือดสูงและโรคลำไส้อักเสบได้อีกด้วย

          ประโยชน์มหาศาลอย่างนี้ หาซื้อติดครัวไว้ก็ดีนะคะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: นิตยาสารชีวจิต

Tags: หอมหัวใหญ่, เจริญอาหาร

สาวแอลจีเรียยิ่งอ้วนยิ่งสวย

credit :: www.tripadvisor.com

          การดูแลรักษารูปร่างให้ผอมเพรียว บอบบาง เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้กับสาวๆ สมัยนี้ แต่สำหรับผู้หญิงในประเทศแอลจีเรียแล้วจะต้องบำรุงร่างกายให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ ถึงจะมั่นใจว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด

          ชนเผ่าดูเรก (Tuareg) ในประเทศแอลจีเรีย มีวัฒนธรรมที่เชื่อกันว่า ผู้หญิงคนไหนยิ่งอ้วนก็จะยิ่งสวย โดยพ่อแม่จะเลี้ยงดูและบังคับให้ลูกสาวกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ อาหารประเภทใดที่กินแล้วทำให้อ้วนก็จะพยายามให้ลูกกินเข้าไปเยอะๆ อย่างเช่น เชื่อว่าดื่มนมแล้วจะทำให้อ้วนก็จะบังคับให้ลูกสาวดื่มนมมากๆ ตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตขึ้นจะได้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด

 

credit :: http://www.willgoto.com

          นอกจากนี้ ชนเผ่าตูเรกยังมีวัฒนธรรมที่แปลกอย่างหนึ่งคือ ผู้ชายในชนเผ่านี้จะต้องใช้ผ้าปิดปากไว้ตลอดเวลา ห้ามไม่ให้ผู้อื่นเห็นปากของตัวเองเด็ดขาด แม้กระทั้งเวลากินข้าว ทุกๆ ครั้งที่จะต้องตักอาหารเข้าปากจะใช้วิธีเลิกผ้าปิดปากขึ้นแล้วตักอาหารเข้าปาก เมื่ออาหารเข้าปากแล้วก็ดึงผ้ามาปิดไว้ตามเดิม แล้วจึงค่อยๆ เคี้ยวอาหารต่อไป ปัจจุบันชนเผ่าตูเรกยังคงยึดถือและปฏิบัติตามประเพณีแปลกๆ นี้กันอยู่ทั้งหญิงและชาย

 

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

Tags: ยิ่งอ้วนยิ่งสวย, สาวแอลจีเรีย, แอลจีเรีย

สวยอันตราย… 9 ทรีทเม้นท์ทำร้ายร่างกายทางอ้อม

    เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับสุภาษิตที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” เราจึงใส่ใจดูแลร่างกายให้ดูดีกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำสปาตัว สปาผม นวดเท้า ตกแต่งเล็บมือ หรือการทำทรีทเม้นท์เพื่อสุขภาพ แต่ก่อนจะตัดสินใจไปทำทรีทเม้นท์อะไร เราอยากให้ดูข้อมูลต่อไปนี้ที่เราจะนำเสนอกันก่อนค่ะ เพราะบางทีทรีทเม้นท์บางอย่างก็อันตรายกับร่างกายของเราไม่ใช่เล่นเลยล่ะ

 

 1. สปาหู

 

          สปาหูเป็นศาสตร์บำบัดสำหรับคนที่มีปัญหาสุขภาพหู เช่น ปวดหูเนื่องจากโทรศัพท์มากเกินไป โดยวิธีก็คือ นำเทียนขี้ผึ้งสมุนไพรผสมกับน้ำมันหอมระเหย ที่มีรูกลวงตรงกลาง จ่อเข้าไปที่รูหู จากนั้นจุดไฟที่ปลายเทียน เพื่อให้ความร้อนและควันจากเทียนผ่านเข้าไปในช่องหู ช่วยฆ่าเชื้อโรคสำหรับคนที่มีขี้หูเปียกและบำบัดอาการปวดหู 

          แต่ทว่า แพทย์ได้ออกมาบอกว่า การทำสปาหูเป็นอันตรายต่อสุขภาพหูเป็นอย่างมาก เพราะหูเป็นอวัยวะที่เปราะบาง จึงควรได้รับการดูแลรักษาอย่างอ่อนโยนที่สุด และกระบวนการของสปาหูอาจเป็นเหตุให้แก้วหูได้รับอันตราย เกิดการอุดตันในช่องหู หรืออาจจะร้ายแรงไปถึงขั้นสูญเสียการได้ยินไปเลย 

          ดังนั้น แพทย์จึงแนะนำว่าการทำความสะอาดช่องหูควรทำด้วยวิธีอ่อนโยน ไม่รุนแรง และใช้วัสดุที่ค่อนข้างนุ่มอย่างคอตตอนบัดทำความสะอาดช่องหูจะดีกว่า หรือถ้ามีปัญหาสุขภาพก็ควรปรึกษากับแพทย์ดีที่สุดค่ะ

 

 2. สปาเท้า

 

          หลายคนชื่นชอบการสปาเท้า เพราะให้ความรู้สึกสบาย และคิดว่าเป็นการทำความสะอาดและบำรุงเท้าชุดใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความเป็นห่วงว่า อุปกรณ์ต่างๆ ที่ทางร้านได้นำมาทำเล็บเท้าให้เรา ไม่ว่าจะเป็นคีมตัดหนังกำพร้า กรรไกรตัดเล็บ ตะไบเล็บ รวมทั้งผ้าขนหนูซับน้ำ จะสะอาดปลอดเชื้อโรคได้ 100% เต็มจริงๆ หรือเปล่า 

          เพราะถึงแม้ว่าทางร้านจะมีขั้นตอนการทำความสะอาดที่น่าไว้ใจ แต่อย่างไรก็ตาม เชื้อโรคที่อยู่ในเล็บเท้าของเรานั่นมีอยู่มากมายหลายชนิด และอุปกรณ์เหล่านี้ยังถูกนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้งกับผู้รับบริการหลายคนอีกด้วย ดังนั้น ทางที่ดีเราควรนำอุปกรณ์ทำเล็บเท้าส่วนตัวของเราไปเอง จะได้อุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง

          แต่การป้องกันเพียงแค่นั้นก็อาจยังไม่เพียงพอ เพราะในอ่างน้ำที่เขาให้เราแช่เท้านั้น ก็แอบแฝงไปด้วยเชื้อโรคจากเท้าของเรา ว่ายวนอยู่เต็มไปหมด ดังนั้น ก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะแช่เท้าเป็นเวลานานด้วย 

          นอกจากนี้ หลังจากทำสปาเท้าเสร็จใหม่ๆ ผิวเท้าเราจะบอบบางมาก จึงไม่ควรใส่รองเท้าแตะ หรือรองเท้าที่เปิดเผยเนื้อเท้ามากๆ ด้วย เพราะอาจเสี่ยงได้รับบาดเจ็บที่เท้าได้ง่ายๆ และควรดูแลรักษาความสะอาดเท้าให้ดี ด้วยการล้างเท้าทุกครั้งหลังกลับมาจากข้างนอก เพื่อป้องเชื้อโรคเข้าสู่เท้าเราด้วยค่ะ

 

 3. แว็กซ์ขนคิ้ว

 

          เราแว็กซ์ขนคิ้วเพื่อกำจัดคิ้วส่วนเกินออกไป เพื่อให้คิ้วสวยได้รูป แต่หารู้ไม่ว่า น้ำยาแว็กซ์ขนนั้นสามารถทำลายรูขุมขนเรา ทำให้ขนไม่ขึ้นอีกต่อไปได้ในระยาว แต่ผลกระทบในระยะสั้นก็คือ อาจทำให้ผิวไหม้จากแว็กซ์ที่มีความร้อนมากเกิน หรือผิวลอกเพราะแว็กซ์ที่แรงเกินไป และผิวติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้นจากการที่ผิวบอบบางลง

          โดยเฉพาะกับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งจะมีผิวหน้าบางมากกว่าปกติ เสี่ยงเกิดรอยไหม้หรือผิวลอกได้ง่ายขึ้น ดังนั้น หากรู้ตัวว่าใช้เครื่องสำอางประเภทนี้อยู่ ก็ควรต้องหยุดใช้ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนทำการแว็กซ์ขนคิ้ว หรือทางที่ดีก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะแว็กซ์ดีกว่าค่ะ

          นอกจากนี้ ก่อนจะทำการแว็กซ์ขนคิ้ว ก็ควรต้องแน่ใจก่อนว่าผู้ให้บริการกับเรามีความเชี่ยวชาญเพียงพอ และได้รับใบอนุญาตประกอบการมาแล้ว หรือถ้าไม่แน่ใจว่าน้ำยาแว็กซ์ขนที่ร้านเสริมสวยใช้นั้นปลอดภัย จะเลี่ยงมาใช้แว็กซ์จากธรรมชาติ อย่างเช่นแว็กซ์น้ำตาลก็ดีค่ะ ปลอดภัยกับร่างกายกว่ากันเยอะเลย

 

 4. สปามือ

 

          สปามือก็คล้ายๆ กับสปาเท้า ที่ถึงแม้จะทำให้มือเราดูสุขภาพดีและสวยงาม แต่ก็แฝงไปด้วยอันตรายมากมาย เช่น การติดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรืออาจจะร้ายแรงถึงขึ้นมือและเล็บเสียโฉมไปเลยก็ได้ 

          ดังนั้น หากคุณตัดสินใจทำสปามือ สิ่งแรกที่ควรจะมองก็คือ ความสะอาดของร้าน ความสะอาดของอุปกรณ์ ที่จัดเก็บอุปกรณ์ ขวดน้ำยาที่ใช้ว่ามีฉลากหรือเปล่า หรือทางที่ดีก็พกอุปกรณ์ตัดเล็บไปเองเลยจะดีกว่า และควรจะคอยระวังไม่ให้ช่างตัดเล็บตัดหนังกำพร้าออกไป รวมถึงอย่าปล่อยให้เขาตัดเล็บเราจนสั้นเกินไปด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เล็บมือเสี่ยงได้รับเชื้อโรคได้โดยง่าย 

          หลังจากทำสปามือเสร็จแล้ว ให้สังเกตความผิดปกติของนิ้วมือด้วย หากเกิดรอยแดง รอยดำ หรือร่องรอยสีเหลืองติดอยู่บนเตียง ผ้าเช็ดตัว หรือหากรู้สึกว่าเล็บมือผิดรูปไป ให้รีบไปพบแพทย์ด่วนเลยค่ะ

 

 5. ทำเล็บแบบเจล

          เป็นสปาเล็บที่มีสาวๆ นิยมทำกันไม่น้อย เพราะจะได้ผลลัพธ์เป็นเล็บที่มีความมันวาวสวยงาม แต่ที่น่าตกใจก็คือ การทำเล็บแบบเจล ก็อาจจะทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งโรคผิวหนังได้ เนื่องจากเครื่องอบเล็บไฟฟ้า จะส่ง UV-A มายังผิวหนัง เป็นเหตุให้อาจเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้นั่นเอง

          นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเล็บยังแนะนำอีกด้วยว่า ควรเลือกร้านทำเล็บที่มีใบอนุญาตประกอบการและเลือกช่างที่มีความชำนาญมากพอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดอย่างไม่คาดคิดขึ้นกับเล็บและนิ้วมือคุณได้

 

 6. บำรุงผมด้วย BB (Brazilian Blowouts)

          BB หรือ (Brazilian Blowouts) เป็นทรีทเม้นท์ผมชนิดหนึ่ง ที่ทำให้ผมเงางาม และนุ่มสลวยได้ในระยะเวลาหนึ่ง แต่อันตรายจากการทำสวยด้วยวิธีนี้คือ ใน BB จะมีสารฟอร์มาลดิไฮด์ (formaldehyde) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ฟอร์มาลินนั่นเอง ซึ่งหากสูดดมเข้าไปในปริมาณมาก อาจสร้างความระคายเคืองต่อเยื่อบุตา เยื่อบุจมูก และทางเดินหายใจ หรือหากมีความเข้มข้นสูงมาก ๆ ตั้งแต่ 100 ppm ขึ้นไป ก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต และหากมีการสัมผัสถูกสารละลายโดยตรงทางผิวหนัง จะทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ เกิดอาการคันทันทีค่ะ

.

 7. บิกินีแว็กซ์

          แว็กซ์ทุกชนิดมีความสามารถในการทำลายผิวเหมือนกันหมด โดยเฉพาะแว็กซ์จากสารเคมี ที่อาจสร้างความระคายเคืองแก่ผิวหนัง รอยแดง รอยไหม้ ผิวบางลง เป็นเหตุให้ติดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย และหากไม่อยากเสี่ยงกับการแว็กซ์ที่ไม่ได้คุณภาพ เช่น ไม่สะอาด ไม่ถูกวิธี ก็ควรต้องใส่ใจในทุกกระบวนการทำบิกินีแว็กซ์ด้วย อย่าลืมตรวจสอบใบอนุญาตผู้ประกอบการของร้าน รวมไปถึงใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของช่างผู้ให้บริการคุณ เพราะช่างที่ได้รับการอบรมวิชาชีพมาโดยเฉพาะ จะให้บริการได้อย่างถูกขั้นตอน ลดอันตรายจากการบาดเจ็บในระหว่างแว็กซ์ได้อีกด้วย

          อย่างไรก็ดี หลังจากทำบิกินีแว็กซ์ไปแล้ว ก็ควรต้องรักษาความสะอาดผิวบริเวณนั้นอย่างระมัดระวัง และหากเกิดความผิดปกติอะไร ก็ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดค่ะ

 

 8. บำรุงผิวหน้า

          การบำรุงผิวหน้าก็เป็นทรีทเม้นท์ยอดฮิตที่สาว ๆ รวมไปถึงหนุ่ม ๆ ให้ความสนใจ ซึ่งก็อาจเกิดอันตรายกับร่างกาย เช่น การติดเชื้อได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากได้รับการบริการจากบุคคลที่ไม่ได้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้

          ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ควรเลือกสถาบันดูแลผิวหน้าและช่างที่มีการรับรองคุณภาพ และมีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ นอกจากนี้ควรถามกับช่างตรง ๆ ไปเลย ว่าเขามีความเชี่ยวชาญกับเครื่องไม้เครื่องมือที่จะต้องนำมาใช้กับคุณแค่ไหน และควรดูความสะอาดบริเวณรอบ ๆ ห้องให้บริการ รวมไปถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ทุกชนิดในนั้นให้ดีด้วย

          สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อย่าลืมขอให้เขาตรวจสอบอาการแพ้ก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์ทรีทเม้นท์ด้วยนะคะ

 

 9. ทำผิวสีแทน

          การเข้าอบในตู้ยูวี เพื่อทำให้ผิวกลายเป็นสีแทน เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก ๆ และอาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้มากถึง 55% โดยเฉพาะกับคนที่มีผิวบาง และมีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งอยู่แล้ว ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้มากขึ้นด้วยค่ะ

          การทำทรีทเม้นท์หรือทำสวยด้วยวิธีต่าง ๆ ก็เหมือนเป็นดาบสองคม ที่มีทั้งผลดีและผลเสีย ซึ่งก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละบุคคล และคงต้องพิจารณากันด้วยตัวเองอย่างถี่ถ้วนนะคะ แต่ถ้าอยากสวยอย่างปลอดภัย วิธีธรรมดาอย่างการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็ยังมีนะจ๊ะ แถมไม่ต้องเสียเงินแพง ๆ ด้วยล่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://health.kapook.com

วิธีเช็คอายุไข่ไก่

          ไข่ไก่นั้นแน่นอนว่าจะไม่มีวันเดือนปีที่ไข่ออกมาจากแม่ไก่ แต่หากว่าเราอยากจะรู้ว่าไข่ไก่นั้นเก่าหรือยัง เพื่อที่จะเลือกกินได้ถูกก็สามารถทำได้ง่ายๆ

          ก่อนอื่นนั้นให้เรานำน้ำมาใส่ในกะละมังใบเล็กๆ จากนั้นก็ค่อยใส่ไข่ลงไปในกะละมังแล้วสังเกตดู หากว่าไข่ตั้งตรงก็แสดงว่าเป็นไข่ที่เก็บมาหลายวันแล้ว ถ้าไข่เอนก็แสดงว่าเป็นไข่ที่เพิ่งเก็บมามีความสดใหม่อยู่ แต่ถ้าหากว่าไข่ใบไหนลอยน้ำแสดงว่าเก็บมานานมาก ไม่ควรนำมาประกอบอาหารเพราะอาจจะเป็นไข่เสียไม่ดีต่อสุขภาพ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge2 จาก Msolution

Tags: วิธีเช็คอายุไข่ไก่, อายุไข่ไก่, ไข่ไก่

วิธีออกกำลังกายลดความอ้วน

          การออกกำลังกายถือเป็นการลดความอ้วนที่ดีที่สุด แต่ก็มีหลายๆ คนที่ออกกำลังกายมาตั้งนานแล้ว แต่ความอ้วนก็ยังไม่ลดลงสักที

          จริงๆ แล้วการออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนให้ได้ผลดี มีเทคนิควิธีนั่นคือ ต้องออกกำลังกายแบบสลับช่วงสลับชนิด เช่น วิ่งๆ เร็วๆ สลับวิ่งช้าๆ โดยวิ่งเร็วเต็มที่สัก 2 นาที จากนั้นจึงผ่อนความเร็วลงอีก 2 นาที ทำแบบนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง

          นอกจากนี้ยังอาจปรับไปใช้กับการเดินเร็วสลับเดินช้า หรือใช้วิธีสลับชนิดการออกกำลังกายเป็น ปั่นจักรยานสลับกับตีแบดมินตัน วิ่งสลับซิตอัพ หรือว่ายน้ำสลับซิตอัพก็ได้ โดยทำสลับกันอย่างละ 15 นาที

          ซึ่งการออกกำลังกายแบบนี้จะทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจและปอดได้ดี ทำให้หายใจได้ลึกขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย จึงทำให้น้ำหนักลดลงได้เร็วขึ้น แถมยังแก่ช้าลงอีกต่างหาก

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : iKnowledge จาก Msolution

Tags: ลดความอ้วน, วิธีออกกำลังกายลดความอ้วน, ออกกำลังกาย, ออกกำลังกายลดความอ้วน