แมคคาเดเมีย ถั่วมหัศจรรย์ของคนโรคหัวใจ

          แม้ว่าจะอุดมไปด้วยแคลอรี่ แต่แมคคาเดเมียก็ดีต่อผู้ป่วยโรคหัวใจนะจะบอกให้

          เพราะถั่วรสอร่อย ราคาแพง ชื่อย๊าวยาวนี้ช่วยทำความสะอาดเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจ และมีการศึกษาพบว่า หลังจากกินแมคคาเดเมียในปริมาณที่เหมาะสมติดต่อกัน 5 สัปดาห์ (กินอาหารอื่นๆ ตามปกติ) จะช่วยลดคอเลสเตอรอลและไขมันเหลว (แอลดีแอล) ลงได้ 9 เปอร์เซ็นต์

          คนเป็นโรคหัวใจกินแมคคาเดเมียแค่ไหนถึงจะดี ? คำตอบคือ กิน  ออนซ์ หรือ 1 แก้วเล็ก หรือ 15 – 20 เมล็ดต่อวัน (305 กิโลแคลอรี่) 

          ซึ่งนอกจากจะเคี้ยวเล่นเพลินๆ แล้ว ยังนำแมคคาเดเมียไปทุบให้แตก กินกับสลัดได้อีกด้วย

          บอกไว้เพราะไม่ว่าจะเป็นของดีเลิศประเภทไหนในโลก เราก็ไม่ควรกินเยอะจนเกินสมดุล

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: นิตยาสารชีวจิต

Tags: ถั่วแมคคาเดเมีย, แมคคาเดเมีย, โรคหัวใจ

เหตุใดเปลือกไข่จึงมีสีต่างกัน

          เปลือกไข่ (Egg shell) อาจมีสีน้ำตาลหรือสีขาวขึ้นอยู่กับชนิดของพันธุ์แม่ไก่ สีไข่ไม่มีผลใดๆ ต่อคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด เช่น ไข่ไก่พันธุ์เล็กฮอร์นมีเปลือกสีขาว ส่วนไข่ไก่พันธุ์โรดไอร์แลนด์มีเปลือกสีน้ำตาล ในเปลือกไข่มีคอลลาเจน (Collagen) สานเป็นตัวตาข่าย และมีหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เปลือกแข็ง เปลือกไข่จะมีรูขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

          เมื่อไข่ออกมาใหม่ๆ จะมีเมือกเคลือบที่เปลือกไข่ด้านบน เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศและน้ำผ่านเข้าไปได้ เปลือกไข่ในช่วงแรกๆ จึงมีลักษณะเป็นนวล เมื่อเก็บไว้นานๆ เมือกเหล่านั้นจะแห้งไป เปลือกไข่จึงมีอากาศถ่ายเทเข้าออกได้มากขึ้น ทำให้ไข่เสียเร็ว และเมื่อเราเก็บไข่ไว้นานจะทำให้โพรงอากาศในไข่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ไข่ขาวข้นจะกลายเป็นไข่ขาวเหลว เพราะมีการย่อยโปรตีนในไข่ขาวเอง ไข่เป็นด่างมากขึ้น รสและกลิ่นเปลี่ยนแปลงเนื่องจากไข่ก็อาจดูดเอากลิ่นสิงที่เหม็นที่อยู่รอบๆ ข้างไปที่รูของเปลือกไข่ รวมทั้งมีเชื้อจุลินทรีย์เพิ่มมากขึ้นด้วย

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: ikowlenge2 จาก Msolution

Tags: เปลือกไข่, ไข่

เหตุผลที่ทำให้ Google/Android อยู่เหนือ Apple/iOS

          หากพูดถึงจำนวนของผู้ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการระหว่างแอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิล (Google) และไอโอเอส (iOS) ของแอปเปิล (Apple) แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจำนวนผู้ใช้แอนดรอยด์นั้นได้แซงหน้า iOS ไปมากแล้ว ชนิดที่เรียกว่าไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

          ล่าสุดได้มีการเปิดเผยสัดส่วนทางการตลาดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ออกมา พบว่าแอนดรอยด์มีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงถึง 72.4% ส่วน iOS นั้นมีส่วนแบ่งเพียง 13.9% เท่านั้น นับว่าเป็นตัวเลขที่ห่างกันไกลมากๆ แต่จะมีใครทราบบ้างว่าเพราะเหตุใดกูเกิลถึงแซงหน้าแอปเปิลไปได้ขนาดนั้น นาย “Simon Hill” จากเว็บไซต์ androidauthority.com จึงได้ทำการวิเคราะห์เรื่องนี้ขึ้นมาให้พวกเราได้อ่านกันเป็นบทความตามด้านล่างนี้ครับ

          หากพิจารณาในด้านการให้บริการทางด้านออนไลน์และเว็บแล้ว ทางด้านของกูเกิลนั้นมีบริการต่างๆ ที่ครบถ้วนและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google Docs (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Google Drive), Google Maps, Google Music, Google+, Youtube หรือ Chrome ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนถูกเชื่อมต่อกันหมดผ่าน Google Account และรวมตัวเข้ากับแอนดรอยด์ ทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกสบายในการใช้งาน อีกทั้งยังมีระบบที่มีเสถียรภาพสูง ถึงแม้ผู้ใช้จะไม่ค่อยมีความรู้ด้านเทคโนโลยีก็สามารถใช้งานได้อย่างไร้ปัญหาใดๆ

         แต่เมื่อเทียบกับบริการของด้านแอปเปิลแล้ว ทางแอปเปิลมีบริการที่ไม่มีประสิทธิภาพดีเท่าของกูเกิล ไม่ว่าจะเป็น iTunes, iCloud, MobileMe, Facetime หรือ Safari ซึ่งล้วนมีปัญหาและข้อผิดพลาดต่างจากทั้งตัวโปรแกรมและระบบ ที่ทำให้เกิดปัญหากับผู้ใช้อยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งบริการแผนที่อย่าง Apple Maps หรือบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Ping ที่แอปเปิลพยายามสร้างมาแข่งขันกับคู่แข่ง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด จึงเป็นสาเหตุให้เหล่าผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ต้องการใช้บริการเหล่านี้เป็นหลัก เลือกที่จะใช้แอนดรอยด์กันมากกว่า iOS

          ทีนี้มาลองดูกันในด้านของการออกแบบซอฟต์แวร์บ้าง iOS ได้ถือกำเนิดมาก่อนแอนดรอยด์ โดยมาพร้อมกันกับ iPhone กับ iPod touch ในปี 2007 และได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ส่วนแอนดรอยด์นั้นมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนครั้งแรกในปี 2008 โดยในช่วงแรก ๆ นั้นแอนดรอยด์ยังไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร เนื่องจากยังเป็นระบบใหม่ และยังพัฒนาออกมาได้ไม่ค่อยดีนัก แต่หลังจากนั้นกูเกิลก็พยายามพัฒนาปรับปรุงให้แอนดรอยด์มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างกับแอปเปิลที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นที่จะพัฒนา iOS สักเท่าไหร่ จากแนวคิดที่ว่า “ถ้ามันไม่ได้มีปัญหาอะไร เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน” หรือเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือกูเกิลนั้นวิ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอด แต่แอปเปิลนั้นคลานอยู่กับที่นั่นเอง ทำให้แอนดรอยด์ในปัจจุบันนั้นมีประสิทธิภาพที่มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งด้านอินเทอร์เฟซและการใช้งาน แต่ iOS กลับคงรูปแบบเดิม ๆ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่

         ในส่วนของด้านฮาร์ดแวร์ ทางกูเกิลได้เปรียบกว่าแอปเปิลค่อนข้างมาก เนื่องจากมีบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้แอนดรอยด์ออกมาหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายรุ่น หลากหลายดีไซน์ ต่างกับแอปเปิลที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ iOS แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งจากการที่มีอุปกรณ์แอนดรอยด์ออกมาหลากหลายนั้น ส่งผลให้มีโอกาสเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้มากขึ้น เนื่องจากผู้ใช้แอนดรอยด์มีสิทธิที่จะเลือกซื้ออุปกรณ์รุ่นที่ตัวเองต้องการได้ตามใจชอบ ต่างกับผู้ใช้ iOS ที่มีตัวเลือกเพียงอุปกรณ์ของแอปเปิลที่มีออกมาเพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น

          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากูเกิลจะมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงกว่าแอปเปิลอยู่มาก แต่แอปเปิลนั้นมีกำไรสูงมากกว่ากูเกิล เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าทั้งสองบริษัทใช้กลยุทธ์ที่ต่างกัน โดยกูเกิลเน้นการทำส่วนแบ่งการตลาดให้สูง และเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก ส่วนแอปเปิลไม่ได้เน้นจำนวนลูกค้า แต่มุ่งเน้นการจัดสรรทรรพยากรการลงทุนด้านซอฟต์และแวร์ฮาร์ดแวร์มากกว่า ส่งผลให้สามารถทำกำไรได้มากกว่ากูเกิลที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

           นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของแอนดรอยด์นั้น ส่วนหนึ่งได้มาจากฐานลูกค้าของ BlackBerry และ Nokia ด้วย เพราะในระยะหลังๆ ทั้งสองแบรนด์เริ่มได้รับความนิยมลดลงไปมาก เนื่องจากลูกค้าหันมาใช้แอนดรอยด์กันแทน โดยในตอนนี้ยังเหลือที่ว่างที่เป็นโอกาสให้แอนดรอยด์และ iOS สามารถขยายตลาดได้ออกไปอีก และในอนาคตเมื่อตลาดถึงจุดอิ่มตัวแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าการเจริญเติบโตของแอนดรอยด์จะหยุดนิ่ง เพราะอาจมีผู้ใช้ iOS เปลี่ยนใจหันมาใช้แอนดรอยด์กันแทนก็เป็นได้ ถึงแม้แอปเปิลจะมีบรรดาสาวกอยู่เหนียวแน่นก็ตาม แต่ถ้าหากแอปเปิลยังคงคลานอยู่กับที่ ในขณะที่กูเกิลนั้นพยายามวิ่งเร็วต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจทำให้เหล่าสาวกเกิดอาการไขว้เขวได้เหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://android.kapook.com

ภาพประกอบจาก :: androidauthority.com

เสื้อคลุมหัวใจจากมลพิษ

 

 

           เมื่ออยู่ท่ามกลางมลพิษ เรามักใช้หน้ากากปิดปากและจมูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยากที่จะรอดพ้นอยู่ดี

          หากมลพิษเข้าสู่อวัยวะภายใน เราปรารถนาจะมีเสื้อคลุมวิเศษที่ช่วยพิทักษ์ทุกเซลล์ของเราให้ปลอดภัย

          นักวิจัยจากศูนย์โรคหัวใจฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา จึงแนะนำเสื้อคลุมวิเศษให้ปอดและหัวใจปลอดภัยจากมลพิษ ซึ่งได้แก่

  • วิตามินบี 6 
  • วิตามินบี 12
  • กรดอมิโน

          ควรกินทั้ง 3 ชนิดนี้ในปริมาณที่แพทย์สั่งหรือเภสัชกรแนะนำ

          หรือถ้าไม่สะดวกกินในรูปแบบบรรจุเม็ดดังกล่าว ให้กินซีเรียลที่ทำจากธัญพืช บรอกโคลี อะโวคาโด เห็ด และปลาแทนก็ได้

          เท่านี้ก็ช่วยสร้างเสื้อคลุมปกป้องหัวใจและปอดให้ปลอดภัยจากมลพิษได้แล้วค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: นิตยสารชีวจิต

Tags: มลพิษ, หัวใจ

เลือกใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยนดีอย่างไร

          เห็นเหมือนกันไหมคะว่า เรื่องสุขภาพปากและฟันนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องดูแลเอาใจใส่กันเป็นอย่างยิ่ง

.

           ปัจจุบันจึงได้เห็นผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟันออกมาให้เลือกใช้กันมากมายหลายสูตร วันนี้เรามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพปากและฟันให้ตรงจุดมาบอกต่อ โดยเฉพาะคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้น้ำยาบ้วนปากค่ะ

          ล่าสุดมีการเผยแพร่ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับการเลือกน้ำยาบ้วนปากว่า เราๆ ท่านๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาบ้วนปากชนิดที่มีแอลกอฮอล์รุนแรง เช่น เมื่ออมแล้วแสบปาก ต้องรีบบ้วนทิ้ง หรือต้องผสมน้ำยาบ้วนปากนี้กับน้ำเปล่าก่อนใช้

          ความรู้สึกรุนแรงนี้ไม่ได้เป็นตัวช่วยขจัดกลิ่นปากหรือทำให้สุขภาพช่องปากดีขึ้น เพราะแท้จริงแล้วน้ำยาบ้วนปากที่มีคุณสมบัติดังกล่าว กลับทำให้เกิดกลิ่นปากแบบเรื้อรังในคนที่ใช้เป็นประจำได้

          นอกจากนี้น้ำยาบ้วนปากชนิดรุนแรง ยังทำลายแบตทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ในช่องปาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดอาการช่องปากแห้ง ขาดความชุ่มชื่น ส่งผลให้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ และอาจมีปัญหากับเหงือกตามมา

          ทางออกที่ดีที่สุดควรเลือกน้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยนผสมสารสกัดจากธรรมชาติ เพราะสารสกัดจากธรรมชาติมีประสิทธิภาพสูงในการดูแลสุขภาพปากและฟัน ช่วยลดกลิ่นปากทำให้ลมหายใจสะดากสดชื่นยาวนานกว่า โดยไม่ทำลายเนื้อเยื้อในช่องปากและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ 

          ฉลาดเลือกก็จะได้ยิ้มสวยกันไปอีกนานค่ะ

.

.

.

.

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: นิตยสารชีวจิต

ที่มา : www.naturecanheal.com

Tags: น้ำยาบ้วนปาก, น้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน

เพื่อนเจ้าสาวมีไว้ทำไม

          สมัยก่อนผู้หญิงไทยมักจะเก้อเขินหรือประหม่า เมื่อต้องออกงานสังคมที่ต้องพบกับผู้คนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพิธีสมรส ซึ่งเป็นวันสำคัญในชีวิต การมีเพื่อนเจ้าสาวจึงทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าสาวรู้สึกอุ่นใจ ไม่เขินอายวิธีนี้จึงเป็นกลอุบายแบบไทยๆ

          ส่วนทางตะวันตกในยุคโบราณนั้น ผู้ที่เป็นเจ้าสาวจะเลือกเพื่อนเจ้าสาวที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายเธอที่สุด และในวันงานเจ้าสาวกับเพื่อนเจ้าสาวก็จะแต่งตัวด้วยชุดที่เหมือนกัน ความเหมือนนี้เป็นอุบายที่คนโบราณคิดขึ้นเพื่อลวงให้วิญญาณชั่วร้ายสับสน เนื่องจากเชื่อกันว่าวิญญาณชั่วร้ายอาจอิจฉาในความสุขและโชคลาภที่กำลังมาสู่เจ้าสาว ดังนั้นเจ้าสาวจึงแวดล้อมตัวเองด้วยเพื่อนเจ้าสาวซึ่งเหมือนเธอให้มากที่สุด ยิ่งเพื่อนเจ้าสาวมีจำนวนมากเท่าใดก็ยิ่งดี เพราะวิญญาณชั่วร้ายจะได้ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นเจ้าสาวที่แท้จริง

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: iKnowledge จาก Msolution

Tags: เพื่อนเจ้าสาว

เด็กทารกแรกเกิด ชอบมองอะไรมากที่สุด?

           เคยสงสัยไหมคะว่าเด็กทารกแรกเกิดเขาสามารถมองเห็นได้ไกลแค่ไหนและเด็กทารกชอบมองอะไรเป็นพิเศษ วันนี้เรามีผลการวิจัยที่จะบอกได้ว่า เด็กทารกแรกเกิดนั้นสามารถมองเห็นได้แค่ไหนและพวกเขาชอบมองอะไรค่ะ

 

 

 

          หลังจากที่ทารกได้คลอดออกมาแล้ว โดยปกติ เด็กทารกจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในระยะ 1 ฟุต และสามารถจ้องมองสิ่งต่างๆ ค้างได้นานประมาณ 4-10 วินาที แต่การพัฒนาของการมองเห็นของลูกนั้นจะสามารถลำดับขั้นได้ดังนี้

           ทารกแรกเกิดสามารถจดจำหน้าพ่อแม่ได้ภายใน 4 วันหลังคลอด พออายุ 1 เดือน เด็กทารกจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในระยะ 15 นิ้ว และมือเริ่มจะขยับเอื้อมไปสัมผัสกับวัตถุที่มองเห็น เมื่อทารกอายุ 3 เดือน เริ่มแยกแยะระยะใกล้ไกลได้และจะสามารถปรับการมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ 4 เดือน

 

คำถามยอดฮิต – เด็กทารกชอบมองอะไรมากที่สุด?

 

          มีผลการวิจัยจาก Dr. Robert Fantz นักวิจัยด้านพฤติกรรมทารก ท่านได้ศึกษาเรื่องเด็กทารกชอบมองอะไรและได้ทดสอบจนได้ผลที่น่าสนใจดังนี้

.

1. เด็กทารก ชอบมองใบหน้าของพ่อแม่ที่แสดงออกถึงความรัก ความอ่อนโยน เพราะเวลาที่เด็กทารกมองนั้น เด็กจะมองจ้องที่ดวงตาของพ่อและแม่ เพราะรอยยิ้มและแววตาที่อ่อนโยนของพ่อแม่นั้นสร้างความอบอุ่นใจให้กับทารก

.
2. เด็กทารก ชอบมองวัตถุที่เคลื่อนไหวมากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่งๆ

.
3. เด็กทารก ชอบมองวัตถุที่มีสีตัดกันชัดเจน เช่น สีดำตัดกับสีขาว

.
4. เด็กทารก ชอบมองวัตถุ 3 มิติมากกว่า 2 มิติ

.

.
เราจะส่งเสริมพัฒนาระบบการมองเห็นของลูกได้อย่างไร?

 

          เทคนิคง่ายๆ ที่พ่อแม่สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้มีดังนี้ค่ะ

.
1.พยายามมองที่หน้าลูกบ่อยๆ เพราะดวงตาของคนจะมีขนาดกลมและมีการตัดกันที่ชัดเจนระหว่างตาขาวและตาดำ และที่สำคัญคือดวงตาสามารถกลอกไปมาได้

.
2.เปลี่ยนตำแหน่งที่ลูกนอนบ้าง เพื่อให้ทารกได้เห็นสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

.
3.หาภาพใบหน้าพ่อแม่มาวางไว้ใกล้ๆ ที่นอนของลูก เพื่อให้ลูกได้เห็นและจดจำหน้าได้เร็วขึ้น

.
4.แขวนวัตถุประเภท 3 มิติ เช่น โมบายไม้ นกกระดาษ ฯลฯ ในจุดที่เด็กทารกสามารถมองเห็นและเอื้อมมือหยิบได้

.
5.พยายามเล่นกับลูกบ่อยๆ อาจจะให้ลูกมองตัวเองในกระจกพร้อมกับพูดคุยกับลูกไปด้วย

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://women.mthai.com

ที่มา :: Babytrick

เคล็ดลับแก้ไขตาบวมและดำคล้ำ

         มีกิจกรรมหลายอย่างที่ทำร้ายผิวหนังรอบดวงตาของเรา เช่น การขยี้ตา การใช้สายตาอย่างหักโหมเช่นอ่านหนังสือหรือเล่นคอมพิวเตอร์นานติดกันหลายชั่วโมง รวมถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอก็ล้วนมีส่วนทำให้เบ้าตาหมองเพราะเส้นเลือดดำขยายตัว บางครั้งเกิดจากเม็ดสีที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากผิวอักเสบเพราะแพ้อายแชโดว์ ครีมบำรุงผิว และน้ำยาทำความสะอาด

          เพราะฉะนั้นวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าคือ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเบ้าตาสลับด้วยผ้าห่อน้ำแข็งนานประมาณ 10 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ก่อนนอนควรทาครีมรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol) วิตามินซี หรือสารให้ความขาว (Whiteners) อย่าง Arbutin, Kojic Acid และ Mulberry Extract เพื่อกำจัดรอยดำให้หายไปอย่างถาวรภายใน 2-4 สัปดาห์

          ส่วนอาการตาบวม มักจะเกิดขึ้นเพราะระบบเลือดในร่างกายหมุนเวียนไม่ดี ซึ่งอาจเกิดพร้อมกับรอยดำคล้ำได้ สามารถแก้ไขโดยนำแตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นบาง ๆ วางบนเปลือกตาทั้งสองข้างนานประมาณ 10 – 20 นาที ascorbic acid กับ caffeic ในแตงกวาจะช่วยบำรุงผิวและลดอาการบวมได้ หรือจะใช้เทคนิคแต่งหน้าช่วย โดยแต้มคอนซีลเลอร์โทนเหลืองซึ่งมีสีอ่อนกว่าผิวจริงหนึ่งเฉด ใช้นิ้วนางเกลี่ยอย่างเบามือก่อนลงรองพื้นแล้วแต่งหน้าตามปกติ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://women.mthai.com

ที่มา : นิตยสาร Health & Cuisine

Tags: ขอบตาดำคล้ำ, ตาบวม, ตาหมีแพนด้า

เคล็ดลับเพิ่มคุณค่าให้กับกระเทียม

 

 

          อาหารไทยส่วนมากนิยมใส่กระเทียม ทั้งเพื่อรสชาติ กลิ่นหอม และประโยชน์

 

          แล้วคุณผู้อ่านรู้หรือไม่คะว่า การนำกระเทียมมาปรุงอาหารก็มีเคล็ดลับเพื่อให้ได้คุณค่าสูงสุดเหมือนกัน

          วิธีการคือ เราควรสับหรือทุบกระเทียมทิ้งไว้ก่อนทำอาหาร 15 นาที เพราะนอกจากกระเทียมจะปลดปล่อยน้ำมันระเหยออกมาแล้ว ยังสร้างสารที่บำรุงสุขภาพขึ้นมาเพิ่มเติมอีกด้วย

          ยอดเยี่ยมกระเทียม (สด) จริงๆ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: นิตยาสารชีวิต

Tags: กระเทียม

อุณภูมิเท่าไรช่วยให้นอนหลับ

          ภาวะบ้านเมืองและเศรษฐกิจดูมืดมนอย่างนี้ หลายคนถึงกับนอนไม่หลับ 

          วิธีหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาอาการนี้ได้คือ การปรับอุณภูมิห้องให้เหมาะสมกับการนอน ซึ่ง National Sleep Foundation ประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า ควรอยู่ระหว่าง 54 – 74 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 17 – 26 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายลดอุณหภูมิลงมาอยู่ในจุดที่เย็นที่สุดได้เร็วที่สุด จนเราสามารถหลับได้อย่างสงบ

          แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องสำรวจที่นอนว่านุ่มหรือแข็งเกินไปหรือเปล่า

          นอกจากนี้ไม่ควรปล่อยให้มือหรือเท้าเย็น เพราะอุณภูมิของมือและเท้าสำคัญต่อการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย มืออุ่นเท้าอุ่นช่วยให้ร่างกายลดอุณภูมิ เพื่อเข้าสู้สภาวะการหลับอย่างสงบได้เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน

          ก่อนนอนคืนนี้อย่าลืมปรับอุณภูมิห้องและร่างกาย พร้อมทั้งคลายเกร็งก่อนนอนนะคะ 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: นิตยาสารชีวิต

Tags: นอนหลับ, อุณภูมิ, อุณภูมิห้อง