กาบ้ายอ

      สุนัขจิ้งจอกเห็นกามีเนื้อชิ้นโตอยู่ในปาก จึงเอ๋ยว่า

          “เพื่อนกาเอ๋ย ตาของเพื่อนช่างงดงามราวกับตาเหยี่ยว ปีกก็เป็นเงาดั่งปีกนกอินทรี ข้าอยากรู้นักว่าถ้าเพื่อนร้องเพลง เสียงของเพื่อนจะไพเราะเพราะพริ้งเพียงใด”

          กาได้ฟังเสียงป้อยอก็ชอบใจ รีบอ้าปากร้องเพลงอวดสุนัขจิ้งจอกทันใด เมื่อกาอ้าปาก ชิ้นเนื้อก็ตกลงมาที่พื้นสุนัขจิ้งจอก ก็เข้าไปคาบเนื้อแล้ววิ่งจากไปทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “คนที่เฝ้ามายกยอปอปั้น ย่อมหวังได้ประโยชน์จากเรา”

ที่มา :: นิทานอีสป จาก Msolution

Tags: กา, กาบ้ายอ, นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, บ้ายอ

กากับนกนางแอ่น

         นกนางแอ่นถามกาว่า “เจ้าว่าขนของข้ากับขนของเจ้าใครจะงามกว่ากัน”

         กามองขนของตนแล้วตอบว่า “ข้าว่าขนของข้าก็สวยดีนะ”

          นกนางแอ่นขยับปีกพลางว่า “แต่เจ้าดูสิ ขนของข้าดูสวยเป็นพิเศษในช่วงฤดูร้อนอย่างนี้”

          กาจึงกล่าวว่า “ก็จริงนะ แต่ขนของข้างามทุกฤดู ไม่ว่าฤดูใดมันก็ดำขลับเช่นนี้”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          ” ความงามที่คงทนยั่งยืน ย่อมเป็นความงามที่แท้จริง “

ที่มา : นิทานอีสปก จาก Msolution

Tags: กา, กากับนกนางแอ่น, นกนางแอ่น, นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป

กวางป่ากับพวงองุ่น

    มีกวางป่าตัวหนึ่งวิ่งไปในเพิงองุนเพื่อซ่อนตัวจากการตามล่าของนายพราน “ขอให้ข้าซ่อนตัวด้วยเถิดนะองุ่น” กวางป่ากล่าวอย่างนอบน้อม องุ่นก็อนุญาติ เมื่อพรานตามมาถึงบริเวณนั้น แต่ไม่พบกวางป่า จึงวิ่งไปอีกทางหนึ่ง พอกวางป่าเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงกัดพวงองุ่นอย่างเอร็ดอร่อย “เจ้ากินข้าทำไมเพื่อนเอ๋ย ” ตัวองุ่นถามอย่างน้อยใจ กวางป่าจึงกล่าวว่า “ถ้าข้าไม่กินเจ้า ก็มีคนอื่นมากินอยู่ดีนั้นแหละ” ขณะที่กวางป่ากัดกินพวงองุ่นอยู่นั้น พรานอีกคนหนึ่งผ่านมาเห็นว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ใต้เพิงองุ่น จึงเล็งธนูใส่กวางป่าทันที 

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          ” คนไม่รู้บุญคุณคน มักประสบความหายนะ “

ที่มา :: นิทานอีสป จาก Msolution

Tags: กวางป่า, กวางป่ากับพวงองุ่น, นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, พวงองุ่น

WhatsApp iOS เตรียมเก็บค่าบริการรายปี

 

          WhatsApp เวอร์ชั่น iOS เตรียมเปลี่ยนเป็นแบบเก็บค่าบริการรายปี จากเดิมที่เป็นแบบซื้อขาดในราคา $0.99

          เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา นาย Jan Koum ซีอีโอของ WhatsApp ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า ในอนาคตจะเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบการเก็บค่าบริการของ WhatsApp เวอร์ชั่น iOS จากแบบเดิมที่เป็นแบบซื้อขาดครั้งเดียวใช้ได้ตลอดในราคา $0.99 (ประมาณ 30 บาท) กลายเป็นแบบเก็บค่าบริการรายปีแทน โดยจะให้ใช้ฟรีได้ในปีแรก และปีต่อไปเก็บปี $0.99 เช่นเดียวกับ WhatsApp เวอร์ชั่นอื่นๆ อย่าง Android, Windows Phone หรือ BB ที่ได้มีการเก็บค่าบริการรายปีมาก่อนหน้านี้แล้ว

          นอกจากนี้ ทาง WhatsApp ได้เปิดเผยอีกว่า ยังไม่มีแผนที่จะพัฒนา WhatsApp เวอร์ชั่น Desktop สำหรับใช้งานบนคอมพิวเตอร์ (เหมือนกับที่ LINE มี) ในขณะนี้ ซึ่งหากเทียบความนิยมของผู้ใช้ทั่วโลกระหว่าง WhatsApp กับ LINE แล้ว ยังถือว่ามีผู้คนนิยมใช้ WhatsApp มากกว่า LINE อยู่พอสมควร เนื่องจาก LINE มีจำนวนผู้ใช้ทั่วโลกทั้งหมดมากกว่า 100 ล้านราย ในขณะที่ WhatsApp นับแค่เฉพาะจำนวนผู้ใช้บน Android อย่างเดียวก็เกิน 100 ล้านรายแล้ว

          อย่างไรก็ตาม ทาง WhatsApp ยังไม่ได้เปิดเผยว่าจะเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบการเก็บค่าบริการเมื่อไหร่ สำหรับใครที่ต้องการใช้งาน WhatsApp ตลอดไปและไม่อยากเสียค่าบริการรายปีจะรีบซื้อเก็บไว้ก่อนเลยก็ได้นะจ๊ะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://men.kapook.com/

Tags: iOS, WhatsApp, ค่าบริการรายปี, วอทแอป, เก็บค่าบริการรายปี

V7 Wayward สองล้อจอมพลังดีไซน์เฉพาะตัว

 

 

 

 

 

                   เราเชื่อว่านิยามคำว่า “มอเตอร์ไซค์” ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจมองว่าเป็นเพียงยานพาหนะชนิดหนึ่งที่มีความคล่องตัว เอาไว้ซอกแซกไปตามซอยในเวลาที่เร่งรีบได้ แต่กับกลุ่มคนที่รักมอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ มันเปรียบเสมือนลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ไม่แพ้มนุษย์ ที่สำคัญยังชอบตกแต่งมอเตอร์ไซค์ของตัวเองให้ดูมีสไตล์และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับชายคนนี้ที่ชื่อ เจมส์ แฮมมาร์เฮด ดีไซเนอร์และเจ้าของร้านแต่งรถมอเตอร์ไซค์ชื่อ Hammarhead Industries ในประเทศสหรัฐอเมริการายนี้

 

 

 

 

 

                   โดยมอเตอร์ไซค์รุ่นที่นำมาแนะนำให้ได้ชมกันในวันนี้คือรุ่น V7 Wayward เป็นมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางที่ใช้โครงเดิมของ Moto Guzzi V7 Classic มาปรับแต่งเพิ่มเติมเสริมลุคให้ดูทรงพลังมากขึ้น และพร้อมลุยไปได้กับถนนทุกสภาพผิว ตัวรถเกือบทั้งคันใช้สีเงินตัดกับสีดำที่ช่วยให้รถดูคลาสสิก พร้อมกระเป๋าช่องเก็บของที่อยู่ด้านข้างตัวรถ ชนิดกันน้ำกันฝนได้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 744 ซีซี V – Twin ที่จะทำให้ผู้ขับขี่ควบ V7 Wayward ได้อย่างเพลิดเพลินบนท้องถนนในเมือง หรือถนนโล่ง ๆ ตามเส้นทางในต่างจังหวัด

 

 

 

    

 

 

 

 

              ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ hammarhead.com โดยตั้งราคาจำหน่ายอยู่ที่คันละ 15,500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 444,000 บาท (ราคาในต่างประเทศ) ทางร้านจะใช้เวลาในการโมดิฟายรถราว 60 วัน ดังนั้น สิงห์นักบิดคนไหนอยากสั่งทำก็ต้องเผื่อเวลารอด้วยนะครับ เพราะทางร้านเขาเน้นเรื่องคุณภาพจริง ๆ

 

 

       

 

 

 .

 .

 .

 .

 .

Tags: V7 Wayward, มอเตอร์ไซค์, สองล้อจอมพลัง

‘ PMS ‘ อาการของผู้หญิงที่ผู้ชายควรเข้าใจ

คำกล่าวที่ว่า ‘เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก’ ผู้หญิงส่วนใหญ่คงเห็นด้วยอย่างมาก แต่คุณผู้ชายคงจะไม่เห็นด้วยนัก วันนี้มีบทความน่าสนใจมากที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงในการดูแลตนเอง และสำหรับคุณผู้ชายเพื่อให้เข้าใจคู่ของคุณมากขึ้นค่ะ


เมื่อใกล้มีรอบเดือน ผู้หญิงกว่า 80% ทั่วโลกมักเกิดความไม่สบายทั้งทางร่างกายและจิตใจ สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘PMS’ หรือ ‘Premenstrual Syndrome’ หลายคนต้องสูญเสียสัมพันธภาพกับคนรัก บางคนตัดสินใจด้านธุรกิจผิดพลาดไปในช่วงนี้

Premenstrual Syndrome คือ อาการปวดเกร็งอย่างผิดปกติของมดลูก ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อเรียบ และพบว่าการหดตัวอย่างผิดปกตินี้มีความสัมพันธ์กับปริมาณของ Calcium ที่ผิดปกติด้วย ทุกรอบเดือนผู้หญิงในวัยที่ทางวิชาการเรียกว่า ” วัยเจริญพันธุ์ “ จะมีเลือดหลั่งออกมาจากช่องคลอด ภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘menses’ คนไทยหลายคนเรียกกันติดปากว่า ‘เมนส์’ มากกว่าที่จะเรียกว่า ‘ประจำเดือน’ หรือ ‘ระดู’ ในภาษาไทยดั้งเดิมของเรา

ก่อนมีประจำเดือนสักสองสามวัน หรือหากยาวหน่อยอาจเป็นสัปดาห์ ผู้หญิงส่วนใหญ่ซึ่งอาจถึงร้อยละ 90 จะมีอาการไม่สบายทั้งทางร่างกายและทางอารมณ์ ภาษาทางการแพทย์เรียกอาการกลุ่มนี้ว่า ‘พรีเมนสทรูอัล ซินโดรม’ (premenstrual syndrome) หรือ ‘พีเอ็มเอส’ (PMS) แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า อาการก่อนมีประจำเดือน

อาการในกลุ่มนี้มีตั้งแต่อาการเบาๆ เช่น อารมณ์หงุดหงิด ขี้โมโห ปวดศีรษะ ปวดท้องที่เรียกกันว่าปวดท้องเมนส์ หรือปวดประจำเดือน จนกระทั่งรุนแรงถึงระดับพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งอาการในลักษณะหลังนี้เกิดขึ้นได้น้อยราย

อาการก่อนมีประจำเดือนอาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

กลุ่มอาการแรก อาการป่วยทางอารมณ์ ได้แก่ หงุดหงิด ขี้โมโห เครียด คิดมาก กังวล ท้อแท้ หลงลืม บางคนอาจมีอารมณ์แปรปรวนมากกว่านี้ เช่น ซึมเศร้า เพ้อ คลุ้มคลั่ง หรืออาจทำร้ายตัวเอง

กลุ่มอาการที่สองคือ อาการป่วยทางร่างกาย ได้แก่ อาการปวดหรือเจ็บตามบริเวณต่างๆ เช่น เจ็บทรวงอก ต่อมน้ำนม หรือหัวนม เรียกอาการนี้ว่า แมสทัลเจีย (mastalgia) นอกจากนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง บวม ท้องอืด วิงเวียนศีรษะ เป็นสิว อ่อนเพลีย

กลุ่มอาการที่สามคือ อาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น หน้าท้องขยาย ร่างกายสะสมน้ำเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำหนักเพิ่ม ผู้หญิงบางคนอาจมีน้ำหนักเพิ่มได้ถึง 1-2 กิโลกรัมในช่วงก่อนมีประจำเดือน หลังจากนั้นน้ำหนักจะลดลงได้เอง

อาการไม่สบายขณะมีรอบเดือนพบได้หลากหลายกว่า 150 ชนิด แบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ รายละเอียดมีอะไรบ้าง มาลองดูกันค่ะ…

เจ้าน้ำตา

ลักษณะอาการ : หดหู่ ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ ตัดสินใจอะไรยาก สับสนและหลงลืมบ่อยๆ นอนไม่พอ เหนื่อยง่าย รู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อน

วิธีบำบัด : ดูแลโภชนาการให้ดี บริโภคอาหารที่มีไขมันต่ำให้มากขึ้น เพราะเกลือและไขมันที่สูงจะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้ นอกจากนี้ควรหาเวลางีบเมื่อรู้สึกเหนื่อย ทำสมาธิหรือเล่นโยคะ บริโภคแร่ธาตุที่จำเป็นให้มากขึ้นในช่วงนี้ คือ สังกะสี (Zinc) เนื่องจากสังกะสีจะช่วยลดอาการเศร้า หดหู่ได้

ขี้โมโห

ลักษณะอาการ : หมดความอดกลั้นจนระเบิดอารมณ์บ่อยๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย อารมณ์แปรปรวนจนตามไม่ทัน วิตกกังวลกว่าปกติที่เคยเป็น หุนหัน ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดบ่อยๆ รู้สึกสูญเสียโดยไม่มีสาเหตุ

วิธีบำบัด : บริโภคอาหารมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้งขึ้น อาการนี้เกิดขึ้นเพราะขาดน้ำตาลในเลือดทำให้หงุดหงิดง่าย การออกกำลังกาย เช่น การเดิน หรือ การปั่นจักรยาน จะช่วยให้ร่างกายปล่อยเอ็นดอร์ฟินทำให้อารมณ์ดีขึ้น รวมทั้งควรบริโภควิตามินบี 6 และอย่าลืมบอกกล่าวคนใกล้ตัวด้วย เขาจะได้พร้อมที่จะให้อภัย

ท้องอืด

ลักษณะอาการ : อาจมีความรู้สึกว่าเต้านมบวมและนุ่มกว่าเดิม เหมือนเนื้อเหลวเช่นเดียวกับหน้าท้อง บางรายอาจมีอาการเต้านมคัด ตึง น้ำหนักขึ้น มือเท้าบวมจนสังเกตได้ มีอาการบวมน้ำตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หน้าท้องป่องออกมากกว่าปกติ

วิธีบำบัด : ควรลดการบริโภคเกลือลง ออกกำลังกายให้ได้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 นาที เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย อาหารที่มีโปรตีนและไฟเบอร์สูงจะช่วยให้หน้าอกกระชับขึ้น เช่นเดียวกับวิตามินบี 6 และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสที่ช่วยแก้ปัญหาหน้าอกนุ่มเหลวได้ แต่ก่อนบริโภคน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ต้องแน่ใจก่อนนะคะว่าคุณไม่มีก้อนเนื้อผิดปกติอยู่ภายในร่างกายเพราะน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะกระตุ้นให้ก้อนเนื้อมีขนาดโตขึ้นได้ และหากมีอาการท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย ควรงดการดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์ก่อนมีรอบเดือนไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์

ไม่มีแรง

ลักษณะอาการ : ไม่มีแรง ใจสั่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร่างกายเจ็บปวดบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ ขาดความกระตือรือร้นทางเพศ มีปัญหาเกี่ยวกับผิวในช่วงที่มีรอบเดือน เช่น สิว ฝ้า ปวดศีรษะ ปวดหลัง

วิธีบำบัด : การที่ผิวมีปัญหา ร่างกายเจ็บปวด หรือเป็นตะคริว เกิดจากการผันแปรของฮอร์โมนเพศ ดังนั้นควรงดอาหารหวานจัด แอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารกระตุ้นทุกชนิด ควรเดินออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที รวมทั้งบริโภควิตามินเอ เพื่อช่วยรักษาสภาพผิว หรือน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ซึ่งมีกรดแกมมาไลโนเลอิก ที่ช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนได้ แต่อย่าลืมเรื่องของเนื้องอกที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้นะคะ

หิวบ่อย

ลักษณะอาการ : จะรับประทานมากกว่าปกติ อยากอาหารหวานจัด เช่น เค้ก หรือ ช๊อกโกแลต อาหารเค็ม เช่น พิซซ่า หรือ พวกถั่วอบเกลือ และมีอาการเวียนศีรษะบ่อย ๆ

วิธีบำบัด : สาเหตุของอาการหิวบ่อยเกิดจากการที่สารเซโรโทนินลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนมีรอบเดือน ทำให้ต้องการคาร์โบไฮเดรตมากกว่าปกติ เพื่อให้ร่างกายใช้ของหวานไปเพิ่มสารนี้ ควรควบคุมโภชนาการให้ถูกต้องและหากิจกรรมอื่นทำบ้าง จะได้ไม่คิดถึงแต่เรื่องกินตลอดเวลา หรือไม่ก็รับประทานเป็นผลไม้แทน

บางคนอาจมีอาการปนเปกันมากกว่า 1 กลุ่ม ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ และหากพบว่าตนเองมีอาการอยู่ในกลุ่มใดก็บำบัดให้ถูกต้องจะไม่ได้ต้องทรมานกันทุกๆ เดือน แต่อาการเหล่านี้เป็นอาการเพียงชั่วคราว หากคนรอบข้างเข้าใจ ให้กำลังใจ เชื่อว่าสาวๆ ทุกคนคงผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปได้ไม่ยากเลยค่ะ

หากได้ลองสอบถามแพทย์ว่าเพราะอะไรผู้หญิงจึงได้มีอาการก่อนมีประจำเดือน แพทย์หลายคนจะตอบว่าเป็นเพราะสมดุลของฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ โดยเชื่อกันว่ามีฮอร์โมนอยู่สองชนิดที่น่าจะเกี่ยวข้องกับอาการนี้ นั่นคือ ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (Progesterone) และ โพรแลกติน (prolactin)

ก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนของเพศหญิงทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีระดับสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายเช่นนี้มีผลทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด ขี้โมโห รวมทั้งอีกสารพัดอาการ หลายต่อหลายคนจึงทึกทักเอาว่าลักษณะอารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของผู้หญิง ซึ่งไม่ยุติธรรมต่อเพศหญิงนัก

แต่ก็มีแพทย์อยู่บางส่วนที่ไม่เชื่อว่าอาการก่อนมีประจำเดือนเกี่ยวข้องกับสมดุลของฮอร์โมน ทั้งนี้ก็เพราะหากทดลองฉีดฮอร์โมนกลุ่มนี้เข้าร่างกายของผู้หญิงในยามที่เธอไม่มีประจำเดือน จะพบว่ามีไม่กี่คนที่เกิดอาการก่อนมีประจำเดือน ดังนั้นอาการก่อนมีประจำเดือนจึงน่าจะเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือนมากกว่าที่จะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน

อะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของอาการก่อนมีประจำเดือนจึงยังไม่มีใครรู้แน่ชัด แพทย์บางส่วนเชื่อว่าอาการก่อนมีประจำเดือนเป็นอาการทางจิตเกิดขึ้นจากความกังวลในเรื่องการมีประจำเดือนมากกว่า ผู้หญิงหลายคนห่วงเรื่องความปกติและไม่ปกติของการมีรอบเดือนค่อนข้างมาก ความกังวลนี่เองที่มีผลทำให้เกิดอาการก่อนมีประจำเดือนขึ้น แต่ความเห็นเช่นนี้ก็ยังไม่มีข้อยุติ

เอาล่ะค่ะ’ ได้ทราบถึงเจ้าอาการ PMS มาพอสมควรแล้ว แอดมินขอส่งท้ายด้วย ” PMS SURVIVAL TIPS ” มาให้คุณผู้ชายดูกันแบบขำๆ ค่ะ

 

special thanks nice credit :: www.newunewlook.com

                                      www.youtube.com

Fast Fact เลี้ยงสัตว์ในบ้านหรือห้องนอนได้หรือไม่

 

          ครั้งแรกที่ตัดสินใจว่าจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยง คุณต้องมั่นใจว่าคุณจะ “เลี้ยง” สัตว์ที่คุณเลือกแล้วไปตลอด ไม่ปล่อยหรือทิ้งมันกลางทาง โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงยอดนิยมส่วนใหญ่คือ “สุนัขและแมว” ที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของ และบางคนรักมากถึงขนาดอยากเลี้ยงสัตว์ในห้องนอนเลยทีเดียว แต่ก็กลัวว่าจะมีเชื้อโรคหรืออันตรายใดๆ หรือไม่ …

 

         อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของคนใดสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ “คุณหมอแมว” แพทย์คนดังจากแวดวงโซเชียลเน็ตเวิร์ก ได้นำเสนอความรู้ดีๆ ที่เชื่อว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงหลายคนอาจจะยังไม่ทราบ ทั้งตอบคำถามคนเลี้ยงให้สบายใจและสัตว์เลี้ยงก็จะมีความสุขเพราะได้อยู่กับเจ้าของมันไปอีกนานแสนนาน 

 

 

Fast Fact เลี้ยงสัตว์ในบ้านหรือห้องนอนได้หรือไม่ แบบหมอแมว

 

           เวลามีข่าว ละคร รายการสยองขวัญ เอาเรื่องเห็บหมาไปอยู่ในตัวคนมาฉาย มักเกิดกระแสความกลัวขึ้นมาตามด้วยการทิ้งสัตว์ เรื่องของเรื่องคือไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย

 

 

1. เห็บหมาแมวอาศัยในตัวคนได้หรือไม่ ?

 

          เห็บหมาแมวอาจจะกัดคนได้ ดูดเลือดคนได้ แต่มันไม่ได้อยากอยู่กับคนหรอกครับ

 

          เห็บหมาแมวเวลาวางไข่ก็ต้องออกจากตัวสัตว์ก่อน แล้วกับคนจะมีอะไรพิเศษที่มันจะต้องไปวางไข่ในนั้น

 

          อวัยวะวางไข่ของเห็บแทงทะลุผิวหนังไม่ได้นิ

 

         นอกจากรายการชมรมขนหัวลุกตอนที่ 1 ที่สร้างให้เห็บหมาอาศัยในตัวเด็กได้ในสภาวะไม่มีอากาศ ยังไม่มีรายการใดกล้าสร้างแบบนั้นอีกเลย ผิดธรรมชาติเกิน

 

         บางกรณีอาจเจอเห็บหมัดวางไข่บนคนที่นอนนิ่งๆ หมดสตินานๆ แต่ถ้ามีคนดูแลหรือขยับตัวได้ มันก็ไม่อยู่หรอก

 

         ดังนั้น เลี้ยงหมาแมวถ้ามั่นใจว่าไม่มีเห็บก็ไม่ต้องกลัวครับ (แต่ถ้ามีก็ระวังเพราะมันเข้าหูได้ เข้าจมูกไม่น่ากลัว น้ำมูกไหลมันก็จมขี้มูกตายแล้ว)

 

 

2. ขนหมาแมวเข้าปอดได้ไหม ?

 

          โดยธรรมชาติคนปกติยากมาก เพราะว่าปอดมนุษย์มีกลไกป้องกันอยู่แล้ว

 

          บุหรี่น่ากลัวกว่าขนหมาขนแมวหลายเท่า เอาคนสูบบุหรี่ออกจากบ้านก่อนอาจจะสมเหตุสมผลกว่า

 

 

3. เลี้ยงแมวหมาทำให้เป็นหอบหืดได้ไหม ?

 

          งานวิจัยที่ทำในเด็ก เท่าที่อ่านผ่านมาทั้งหลายก็บอกว่าไม่ได้ทำให้เกิดการเป็นหอบหืดมากขึ้น

 

          การเลี้ยงก่อนขวบปีแรก ทำให้เสี่ยงต่อการแพ้ขนแมวมากขึ้น แต่ถ้าหลังจากนั้นไม่ได้มากกว่าคนทั่วไป

 

          ส่วนของหมา … ผลไม่ชัดเจน

 

 

4. เลี้ยงแมวหมาบนเตียงนอนได้ไหม ?

 

          ไม่ควร

 

          เสี่ยงต่อการติดเชื้อพวกเชื้อราผิวหนัง

 

          ถ้าแพ้ล่ะซวย

 

          ถ้าแมวหมามีเห็บหมัดพยาธิ … ซวย

 

          แต่ถ้ามั่นใจว่าไร้พยาธิ ไร้เห็บหมัด ไร้เชื่้อรารักษาความสะอาดดี … ก็อีกเรื่องนึง

 

          ถ้าเลี้ยงบนเตียงนอนมาเป็น 5 ปี 10 ปี ไม่แพ้ นอนเตียงเดียวกันต่อไปเถอะครับ ไม่แพ้หรอกครับ ถ้าแพ้ก็ว่ากันอีกที

 

 

5. แพ้ขนแมวขนหมา

 

          การแพ้ อาจจะมีอาการคัน ผื่น น้ำมูก จาม หายใจลำบาก แตกต่างกันไปในแต่ละคน

 

          การแพ้สัตว์เลี้ยงเป็นภูมิแพ้แบบหนึ่ง แต่คนเป็นภูมิแพ้ไม่จำเป็นต้องแพ้สัตว์เลี้ยง (อาจจะแพ้ไรฝุ่น แพ้ละอองเกสร แพ้แมลงสาบก็ได้)

 

          แพ้ก็คือแพ้ ไม่แพ้ก็คือไม่แพ้ คนแพ้เจอนิดเดียวก็แพ้ คนที่ไม่แพ้ ไปนอนคลุกก็ไม่เป็นไรจริงๆ

 

          ที่เห็นบางคนตอนแรกไม่แพ้ แต่ตอนหลังแพ้ จริงๆ คือคนนั้นแพ้ แต่แสดงอาการช้า หมอแมวก็เป็นหนึ่งในนั้น 

 

6.แพ้ขนหมาขนแมวทำอย่างไร ?

 

         ที่ผ่านมาแนะนำคนไข้ทั้งหลายทั้งปวง คำถามแรกที่คนไข้ถามคือ “ต้องเอาหมาแมวไปทิ้งไหม”

         คำตอบคือ “นั่นคือหนทางสุดท้ายที่แนะนำเลยครับ”

 

ทางแก้เมื่อแพ้สัตว์เลี้ยง

 

         การแพ้สัตว์เลี้ยงไม่ใช่การแพ้ขน แต่มักเป็นการแพ้ผิวหนัง (ขี้ไคลหรือรังแค) และน้ำลายสัตว์ ดังนั้น

 

          ดูให้แน่ว่าแพ้สัตว์เลี้ยง จัดการเรื่องการแพ้ที่เจอบ่อยอย่างอื่น เช่น แพ้ซากแมลงสาบ (ที่ตายกลายเป็นผงละอองมองไม่เห็นด้วยตา) แพ้ไรฝุ่น แพ้ควันบุหรี่ ฯลฯ แก้ไขตรงนี้ก่อน ถ้าหายจะได้ไม่ต้องโทษสัตว์เลี้ยง

 

          อาบน้ำสัตว์บ่อยๆ การอาบน้ำจะช่วยล้างขี้ไคลตามตัวสัตว์ออกไป ทำให้เราแพ้ยากขึ้น (ป้องกันเชื้อราด้วย)

 

          เอาหนังสือ – พรมออกจากห้อง เพราะมันจะเก็บฝุ่นรังแคไว้

 

          เปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อยๆ เอาที่นอนไปตากแดด ตากแดดไม่ได้ป้องกันแพ้สัตว์เลี้ยงหรอก ฆ่าไรฝุ่นไปด้วย

 

          จัดมุมที่ปลอดสัตว์เลี้ยง จัดโซนให้ดี เพราะในบางเวลาที่จำเป็น จะได้มีที่หลบภัย

 

          กินยา บางคนติดแมวหมามากๆ ต้องนอนกอด ถ้าเช่นนั้นก็กินยาซะครับ

 

          หาที่กรองอากาศมาใช้และไม่ใช่แบบธรรมดา หาแบบที่เรียกว่า HEPA High-efficiency particulate air เพราะเราไม่ได้จะกรองแค่ขน เราจะกรองขี้ไคลสัตว์

 

ในกรณีที่แพ้รุนแรงแบบหอบหืด

 

          ไปตรวจกับแพทย์ภูมิแพ้ เพื่อดูว่าแพ้สัตว์เลี้ยงจริงๆ หรือไม่

 

          ใช้ยาไปเลย

 

          ทำทุกอย่างที่ว่ามาทั้งหมด

 

          ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ต้องยกให้คนอื่นเลี้ยง 

 

         ซึ่งในชีวิตที่ผ่านมาของการเป็นแพทย์ รักษาคนที่แพ้สัตว์เลี้ยงหลายคน มีน้อยกว่า 5 รายที่สุดท้ายต้องแยกกับสัตว์เลี้ยงครับ

.

.

.

.

.

.

.

.

ที่มา :: หมอแมว

Elektrokatze สตรีทไบค์ไซส์กะทัดรัดที่นักปั่นฝันถึง

    

         วันนี้ขอเอาใจคนรัก(รถ)จักรยานกันอีกแล้ว ด้วยการนำเอาผลงานจักรยานแฮนด์เมดของทางทีมงานนักออกแบบจาก ChowPourianLab มาแนะนำให้ได้รู้จักกันกับ “Elektrokatze” สตรีทไบค์สุดเท่ ซึ่งงานนี้รับประกันเลยว่าจะต้องถูกอกถูกใจนักปั่นที่ชอบจักรยานแนวเอ็กซ์ตรีมแน่นอน
          
          เจ้าจักรยานฟิกซ์ เกียร์คันนี้เป็นผลงานที่เกิดจากความประณีตของช่างทำจักรยานมืออาชีพ ที่ค่อยๆ หล่อเฟรมและประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันด้วยความพิถีพิถัน โดยแฮนด์จับเป็นแฮนด์แบบสั้น ส่วนตัวเฟรมรถใช้เหล็กมาทำ ดังนั้นจึงมีความแข็งแรงทนทานสูง ส่วนล้อมีขนาด 20 นิ้ว โครงสร้างโดยรวมมีขนาดกะทัดรัดเพื่อให้ง่ายต่อการใช้เล่นท่าผาดโผนต่างๆ ซึ่งเมื่อดูภาพรวมของตัวรถทั้งหมดแล้ว แม้จะดูเรียบๆ ไปสักหน่อย ทว่าก็ดูมีเสน่ห์อยู่ไม่น้อยเช่นกัน

          อย่างไรก็ตาม Elektrokatze ยังเป็นเพียงผลงานต้นแบบที่กำลังพัฒนาและอยู่ในช่วงทดสอบประสิทธิภาพอยู่เท่านั้น แต่คาดว่าอีกไม่นานคงจะมีข่าวคราวความคืบหน้าเรื่องราคาและช่องทางการจัดจำหน่ายออกมาให้ทราบในเร็ววันนี้ หรือถ้าใครอยากเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนก็สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ chowpourian.com

Elektrokatze

Elektrokatze

Elektrokatze

Elektrokatze

Elektrokatze

Elektrokatze

Elektrokatze

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://men.kapook.com

ภาพประกอบจาก :: chowpourian.com

Tags: Elektrokatze, สตรีทไบค์

7 อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยพบ

.

            อุกกาบาตชนโลกไม่ใช่เหตุการณ์ที่มีเพียงแต่ในภาพยนตร์ไซไฟที่เราชอบดูกันเท่านั้น แต่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ แถมยังมากกว่า 1 ครั้งเสียด้วย เพียงแต่ว่าไม่ได้พุ่งชนรุนแรงและก้อนใหญ่มากพอจะสร้างความเสียหายให้กับโลกร้ายแรงแบบในหนังเท่านั้นเอง

          อย่างไรก็ดี หลังจากที่อุกกาบาตเหล่านั้นตกลงมายังโลก ก็มีไม่น้อยที่ถูกค้นพบและกลายมาเป็นวัตถุหายากให้คนได้แวะเวียนไปเยี่ยมชมกันด้วย แถมยังมีบางชิ้นที่มีขนาดใหญ่เสียจนน่าตกใจอีกต่างหาก ซึ่งวันนี้เราก็ได้รวบรวม 7 อันดับอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่สุดที่โลกเคยพบ จากเว็บไซต์ Environmental Graffiti มาฝากกันแล้ว ลองมาดูซิว่าแต่ละอันมีขนาดเท่าไหร่ อยู่ที่ไหน และเก่าแก่แค่ไหนกัน

.

.

1. โฮบา

            อุกกาบาตโฮบานี้ได้อันดับ 1 ไปครองสบาย ๆ ด้วยน้ำหนักมากถึง 60 ตัน และขนาดราว 6.5 ตารางเมตร ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเมืองกรูตฟอนไตน์ แคว้นโอตโจซอนด์จูปา ประเทศนามิเบีย ต้องแวะมาดูกันให้ได้ โดยน้ำหนักที่มหาศาลของมันทำให้อุกกาบาตที่ประกอบไปด้วย เหล็ก 84% และนิเกิล 16% นี้ ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่มีการขยับเขยื้อนไปไหน หลังจากที่ถูกค้นพบโดยชาวนาในปี 1920 ซึ่งคาดกันว่ามันน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 80,000 ปี และถูกชั้นบรรยากาศชะลอความเร็วเลยไม่บุบสลายแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น รูปทรงราบเรียบแปลกตาของมันอาจมาจากการที่มันลงสู่พื้นแบบตกกระดอนคล้ายการโยนหินลงบนผิวน้ำก็ได้

.

.

.

2. เอล คาโก

            ด้วยน้ำหนัก 37 ตัน และเป็นตัวสร้างหลุมยุบขนาด 60 ตารางกิโลเมตร แต่ชิ้นส่วนอุกกาบาต “เอล คาโก” จากสะเก็ดดาว “คัมโบ เดล เชโล” ในประเทศอาร์เจนตินานี้ หากเอามานับรวมกันแล้วจะได้น้ำหนักราว 100 ตัน และจัดว่าเป็นวัตถุจากนอกโลกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 เท่าที่มีการถูกค้นพบ และมีอายุประมาณ 4,000 – 5,000 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีเหตุการณ์นักล่าอุกกาบาตอย่าง “โรเบิร์ต ฮัก” พยายามจะขโมยชิ้นส่วนอุกกาบาตนี้มาแล้ว แต่ถูกยับยั้งได้โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์เจนตินา และเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนนี้ออกนอกประเทศไปแล้ว

.

.

.

3. อาห์นิกิโต

            สะเก็ดดาวขนาดใหญ่ที่สุดที่ผ่านการเคลื่อนย้ายของมนุษย์มาแล้วชิ้นนี้ มีน้ำหนักกว่า 34 ตันเลยทีเดียว โดยมันเป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดจากอุกกาบาต “เคป ยอร์ก” และนับแต่ปี ค.ศ. 1818 นักวิทยาศาสตร์ก็พยายามค้นหาชิ้นส่วนสะเก็ดดาวนี้มาตลอด จนกระทั้ง ปี ค.ศ. 1984 “โรเบิร์ต อี เพียรี” นักสำรวจมหาสมุทรอาร์กติกชาวอเมริกันก็ค้นพบมันในที่สุด แม้จะต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ในการขนย้ายไปขายยังพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกาก็ตาม โดยชิ้นส่วนอุกกาบาตก็อยู่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

.

.

.

4. บาคุริบิโต

            ตั้งแต่มีการค้นพบสะเก็ดดาวชิ้นนี้ มันก็ได้ชื่อว่าเป็นสะเก็ดดาวที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศเม็กซิโกมาตลอด ซึ่งอุกกาบาตยาว 4 เมตรหนัก 22 ตันชิ้นนี้ ถูกพบโดย “กิลเบิร์ต เอลลิส ไบเลย์” นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1892 ท่ามกลางความช่วยเหลือของชาวบ้านพื้นเมือง ทำให้มันถูกตั้งชื่อตามชุมชนที่ขุดพบ และปัจจุบันมันก็ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ “Centro de Ciencias de Sinaloa” ในเมืองคูเลียคัน ประเทศเม็กซิโก

.

.

.

5. อักปาลิลิค

            ชิ้นส่วนจากอุกกาบาต “เคป ยอร์ก” ที่ชื่อว่า “อักปาลิลิค” นี้ คาดว่ามีอายุราว 10,000 ปีแล้ว โดยมันถูกใช้เป็นแหล่งแร่โลหะเพื่อเอาไปใช้ทำอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ มาก่อน จนกระทั่งข่าวของมันไปถึงหูนักวิทยาศาสตร์เข้า จึงได้ส่งทีมค้นหาออกไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1818 – 1883 และก็ล้มเหลวกลับมาทุกครั้ง จวบจนปี ค.ศ. 1961 “วาน เอฟ บุชวาลด์” ก็พบชิ้นส่วนหนักราว 20 ตันนี้เข้า มันจึงได้ถูกนำมาแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาในเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก อยู่ทุกวันนี้

.

.

.

6. เอ็มโบซี

            สะเก็ดดาวในประเทศแทนซาเนียนี้ ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1930 และมีน้ำหนักราว 16 ตัน ซึ่งเดิมทีมันถูกพบในขณะที่ครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ใต้ดินลึกพอสมควร แต่ปัจจุบันดินบริเวณนั้นได้ถูกกำจัดออกให้เรามองเห็นสะเก็ดดาวก้อนนี้ได้ อย่างชัดเจนแล้ว รวมทั้งสร้างฐานเอาไว้รองรับด้านล่างด้วย ส่วนหลุมที่เกิดจากการขุดเอ็มโบซีขึ้นมานั้น ยังคงอยู่ในสภาพเดิม

.

.

.

7. วิลลาเมต

            แม้ว่ามันจะถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 7 ของโลก แต่ขนาด 7.8 ตารางเมตร และน้ำหนักราว 15.5 ตัน ก็ทำให้วิลลาเมตเป็นสะเก็ดดาวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว โดยก่อนจะถูกเอามาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน มันถูกค้นพบโดย “เอลลิส ฮิวจ์” ในปี ค.ศ. 1902 และใช้เวลาขนย้ายกว่า 3 เดือน ซึ่งเดิมทีมันตกอยู่ในที่ดินของบริษัท โอเรกอน ไอออน แอนด์ สตีล ที่อ้างความเป็นเจ้าของวิลลาเมตมาก่อน
            ทั้งนี้ นอกจากชิ้นส่วนอุกกาบาตที่เราเห็นอยู่นี้จะเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไว้ให้เราศึกษาเรื่องราวในอวกาศกันต่อไปในอนาคตแล้ว ยังเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจให้เราได้นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาอีกด้วย ฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การรักษาและแวะไปเยี่ยมชมกับตาดูสักครั้ง

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://hilight.kapook.com

ที่มา ::ไทยรัฐ

ภาพประกอบจาก :: Planeta Pia, Americam Museum of history, Sophi Mania, Cometa Site, Stroemming, Americam Museum of history

5 ปัจจัยที่ทำให้ลูกฉลาด

         ถามพ่อแม่ 100 คน ว่าอยากให้ลูกฉลาดหรือไม่ คำตอบก็คงเหมือนกันทั้ง 100 คน แต่ทำอย่างไรดีล่ะที่จะทำให้ลูกฉลาด ถ้าเป็นสมัยก่อนก็จะบอกว่า เป็นไปตามบุญตามกรรมหรือพรสวรรค์ของคนนั้น ถัดมาอีกหน่อยก็บอกว่าพ่อแม่ฉลาดลูกก็ฉลาด แต่ปัจจุบัน ความฉลาดเป็นเรื่องที่พ่อแม่สามารถเสริมให้ลูกได้มากขึ้น และปัจจัยที่สำคัญที่สุด ก็คือ พ่อแม่จะสามารถส่งเสริมความฉลาดของลูกได้มากน้อยแค่ไหน 

         ฉบับนี้เรามาดูกันว่า อะไรบ้างที่ทำให้ลูกฉลาด และพ่อแม่จะมีวิธีส่งเสริมให้ลูกฉลาดได้อย่างไร

 
1.พันธุกรรม

         คือการถ่ายทอดลักษณะจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อไป เช่น สีผม สีตา ความสูง โรคบางชนิด รูปร่าง รวมถึงสติปัญญาบางส่วน (จากการวิจัยมีรายงานว่ามีส่วน 48%) ในส่วนของพันธุกรรม เราคงไม่สามารถไปแก้ไขอะไรได้
 
 พ่อแม่ทำได้

         การเตรียมพร้อมสุขภาพลูก ตามหลักความเป็นจริง ต้องเตรียมตั้งแต่ยังไม่ตั้งครรภ์กันเลยทีเดียว คุณแม่ต้องมีร่างกายแข็งแรง เสริมวิตามินโฟเลต เพื่อป้องกันภาวะกะโหลกศีรษะไม่ปิด และมีการเช็กสุขภาพ ตรวจเลือด เพื่อดูว่าร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกันใด ๆ จะได้ฉีดวัคซีนก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคนั้น ๆ ระหว่างตั้งครรภ์ เพราะบางโรคมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตต่อลูกในท้องเป็นอย่างมาก

         รวมทั้งค้นหาความเสี่ยงของการเกิดโรคธาลัสซีเมีย หรือไม่ ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพราะคนไทยมีพาหะของโรคนี้ค่อนข้างเยอะ ทำให้ถ่ายทอดไปยังลูก ถ้ามีลูกเมื่อแม่มีอายุเยอะหรือญาติสนิทเคยเป็นโรคที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับสมอง ที่เห็นได้เด่นชัด เช่น ดาวน์ซินโดรม ควรได้รับการเจาะน้ำคร่ำ เมื่ออายุครรภ์ได้ 4 เดือน เพื่อจะได้มีการวินิจฉัยว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีการวางแผนก่อนการตั้งครรภ์ และมีการดูแลครรภ์ที่ดีจะลดปัญหาเรื่องความผิดปกติของลูกไปได้มากมาย

 
 
2.อาหาร

         นอกจากอาหารจะช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตแล้ว สารอาหารบางชนิดส่งผลโดยตรงต่อความฉลาดของลูก เพราะสารอาหารจะเข้าไปมีส่วนช่วยในพัฒนาการของการเจริญเติบโตของสมอง ฉะนั้นถ้าเด็กมีภาวะขาดสารอาหาร จะมีผลต่อการเรียนรู้ จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร มีผลงานวิจัยที่ชัดเจนว่า เด็กที่ได้รับสารอาหารที่ดีจะมีประสิทธิภาพในการอ่าน การคิดเลขที่ดีกว่าเด็กที่ขาดสารอาหาร และในเด็กบางกลุ่ม อาจจะมีปัญหาโรคสมาธิสั้นก็เป็นได้ ฉะนั้นการให้ลูกรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้พัฒนาการทั้งร่างกาย การเรียนรู้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ 

สารอาหารที่สมองต้องการเป็นพิเศษ เช่น

         กรดไขมันโอเมก้า 3 หรือ DHA : มีการเสนอผลงานของการตรวจระดับ DHA ในเลือดของเด็กอายุ 4 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรงพบว่า ถ้ายิ่งมี DHA ในเลือดมากเท่าใด เด็กก็จะทำแบบทดสอบด้านการรับรู้ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น โอเมก้า 3 มีผลต่อระบบการทำงานของสมอง และระบบประสาท (จอตา)รวมทั้งช่วยปกป้องการทำงานของหัวใจให้เป็นไปตามปกติ ซึ่งอาหารที่พบโอเมก้า 3 มากก็คือ ปลาทะเล ปลาน้ำจืด ผักใบเขียว

         ธาตุเหล็ก : เราอาจจะคุ้นเคยกับประโยชน์ของธาตุเหล็กในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือด แต่ธาตุเหล็กก็ยังมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างไขมันสมอง และสารเคมีในสมอง ซึ่งทำให้การทำงานของสารเคมีเป็นไปอย่างปกติ การเรียนรู้ของลูกน้อยก็จะดีไปด้วยเช่นกัน
 
 พ่อแม่ทำได้

         การเตรียมอาหารให้ลูกด้วยตัวเอง ยังคงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ เพราะอาหารที่ทำเองย่อมสะอาดกว่าอาหารนอกบ้าน คุณพ่อคุณแม่สามารถกำหนดรสชาติ และความสดของวัตถุดิบ รวมถึงให้ลูกคุ้นเคยกับการเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ไม่พึ่งพาอาหารนอกบ้านมากเกินไป

 
           
3.ออกกำลังกาย

         การออกกำลังกายของเด็กเล็ก ๆ นั้นดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต เพราะเด็กวัยเตาะแตะ เป็นวัยที่กำลังพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้แข็งแรงและคล่องแคล่ว เด็กอยากจะเดินจะวิ่งและเล่นอยู่เกือบตลอดเวลา 

         การออกกำลังกาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับความฉลาดของลูก เพราะเมื่อร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิตแข็งแรง ปอดมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนเพิ่ม มีความสุข สบายใจ เนื่องจากร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟิน และหลับสนิทได้ต่อเนื่องร่างกายก็จะหลั่ง Growth Hormones เมื่อร่างกายพร้อมก็ ย่อมพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน
 
 พ่อแม่ทำได้

         สิ่งที่พ่อแม่ควรส่งเสริม คือ ให้ลูกมีโอกาสได้เล่นกลางแจ้ง จัดสถานที่ให้ปลอดภัยต่อการหัดเดิน หัดวิ่งของลูก คอยระวังเรื่องอากาศบ้าง ถ้าลูกเล่นมาก เหงื่อออกมาก อย่าลืมป้อนน้ำลูกให้บ่อยขึ้น และสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
 
4.คำพูดของผู้ใหญ่ในบ้าน

         หลายท่านอาจจะงงว่าแค่ ”คำพูด” จะสำคัญอะไรกับความฉลาดของลูก แต่ถ้าลองนึกถึงพฤติกรรมของลูกให้ดี จะเห็นว่าวัยนี้สามารถใช้ภาษาสื่อสารได้ดี มีทั้งความอยากรู้ อยากสัมผัส อยากทดลอง อยากเลียนแบบ ฉะนั้นถ้าเด็กได้รับประสบการณ์ที่ดี ก็จะสะสมสิ่งเหล่านั้นจนกลายเป็นความเข้าใจ และนำไปใช้ในที่สุด 
 
         ดังนั้นถ้าพ่อแม่เปิดโอกาสให้สมองของลูกมีการเรียนรู้ ได้คิด ได้ลองทำ ทดลอง โดยไม่ตีกรอบมากจนเกินไปด้วยคำพูดของผู้ใหญ่ที่บอกว่า ”อย่ากระโดดนะ เดี๋ยวล้ม”, “อย่าเอามือไปจับสีสิลูก สกปรก”, “อย่าเล่นทรายนะ เดี๋ยวเข้าตา” ฯลฯ  ด้วยคำว่า ”อย่า” หรือการห้ามทำ เท่ากับเป็นการปิดโอกาสการเรียนรู้ของลูก แต่ถ้าพ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกได้ทดลอง ได้หยิบจับ โดยดูแลเรื่องความปลอดภัยให้แล้ว ลูกจะสนุกกับการค้นหา ทดลอง พ่อแม่เพียงแต่แนะนำ กระตุ้นให้ลองทำ เท่ากับเป็นการเสริมให้ลูกใช้สมองอย่างเต็มที่
 
 พ่อแม่ทำได้

         การพูดกับลูกและสมาชิกในครอบครัว ด้วยคำพูดที่อ่อนหวาน รักษาจิตใจกัน ลูกจะจดจำและเลียนแบบคำพูด และลักษณะนั้น ๆ เกิดความไว้ใจคนในครอบครัว และพ่อแม่ควรพาลูกไปรู้จักกับคนอื่น ๆ บ้าง เป็นการส่งเสริมให้ลูกรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น เพื่อให้มีสัมพันธภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

 
 
5.ไม่เปิดโทรทัศน์เลี้ยงลูก

         หลายปีมานี้ คุณแม่คงเคยได้ยินหรือได้รับทราบข่าวสารถึงพิษภัยของทีวีกับเด็กเล็กมาบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา การพัฒนาการเด็กค่อนข้างให้ความสำคัญ และเป็นประเด็นกันบ่อยครั้ง ว่าการเปิดทีวีให้เด็กดูนั้น ไม่ได้ช่วยพัฒนาสมองเด็ก แถมยังเป็นหนามแหลมกลับมาทำร้ายลูกเราได้ด้วย มีการวิจัยรับรองมากมายว่าการให้เด็กเล็กดูทีวีมีผลเสีย บางรายเป็นโรคสมาธิสั้นเพราะทีวี

         ภาพเคลื่อนไหวหน้าจอจะดึงดูดความสนใจของเด็ก ซึ่งเด็กจะได้ดูภาพ (ได้แค่ภาพสองมิติ) กับได้ยินเสียง แต่ไม่สามารถตอบโต้กับเด็กได้ และเป็นการรับสารฝ่ายเดียว ซึ่งขัดกับหลักการเรียนรู้ของเด็กที่ต้องเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหก แต่ทีวีตอบสนองสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เมื่อเด็กได้ดูทีวีมาก ๆ สมองที่ควรจะได้รับการเรียนรู้ กลับไม่ได้รับการกระตุ้น ทำให้สมองส่วนรับประสาทสัมผัสอื่น ๆ ฝ่อไป(สมองจะดีได้ ต้องถูกใช้งานเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ) แถมรายการที่ฉายก็ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก ทั้งในเรื่องภาพ คำพูด หรือการโฆษณาต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ไม่น่าเลียนแบบ ฉะนั้นถ้าพ่อแม่ยังคิดว่า การเลี้ยงลูกด้วยทีวีเป็นเรื่องง่าย สามารถหยุดความซนของลูกวัยนี้ได้ ก็เท่ากับทำร้ายลูกตัวเองในระยะยาวก็เป็นได้
 
 พ่อแม่ทำได้

         การหากิจกรรมอื่น ๆ ให้ลูกทำ สิ่งที่ลูกได้จะไม่ใช่คำพูดแปลก ๆ เลียนแบบในจอ หรือท่าทางเลียนแบบตัวการ์ตูน แต่จะได้ประสบการณ์จากการเล่น ได้จับ ได้สัมผัส ที่สำคัญคือ ได้คิดต่อยอดสิ่งที่ตัวเองได้เล่น เช่น 

          ► หาสีผสมอาหารมาให้ลูกปั๊มนิ้ว วาดรูปลงกระดาษแผ่นใหญ่

          ► เตรียมแป้งโดว์ให้ลูกปั้น

          ► ของเล่นที่พัฒนาทักษะต่าง ๆ เช่น ตัวต่อ บล็อกไม้ หรือแม้แต่ก้อนหิน ใบไม้ที่อยู่บริเวณบ้าน ก็ยังนำมาเล่นกับลูกและเกิดประโยชน์มากกว่าการดูทีวี

          ► อ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง

          ► ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่พ่อแม่สามารถเล่นกับลูกได้ไม่รู้เบื่อ เพียงแต่ต้องใช้ใจพ่อแม่เล่นด้วยเท่านั้นเอง
 
         โดยสรุปแล้ว ความฉลาดของลูกนั้น ขึ้นอยู่กับสองมือของพ่อและแม่ ที่จะช่วยกันสร้างลูกขึ้นมา ให้เป็นเด็กที่มีความฉลาดจากการเรียนรู้ที่มีพ่อแม่คอยส่งเสริม หรือฉลาดแบบตามธรรมชาติ แล้วปล่อยเป็นหน้าที่ของคุณครูเมื่อถึงเวลาเข้าโรงเรียนเท่านั้น ก็เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจค่ะ 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://baby.kapook.com