ม้ากับน้ำค้าง

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีม้าหนุ่มที่มีนิสัยร่าเริงมากอยู่ตัวหนึ่ง ทุกๆ วันในเวลาเช้ามันมักจะส่งเสียงร้อง ” บุ ฮื้ๆๆๆ ” ด้วยเสียงอันดัง และพร้อมกันนั้นก็จะวิ่งด้วยความเร็วอย่างมากไปตามสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆ อย่างสนุกสนาน แต่ว่าด้วยเสียงที่แสนจะแหบแห้งของมันมักจะเป็นเหตุทำให้พวกนกเล็กๆ ที่มารวมกลุ่มเกาะกันอยู่แถวๆ บริเวณนั้น และรวมทั้งที่หาอาหารกันอยู่ในพุ่มไม้ต่างๆ พากันตกใจและบินหนีไปที่อื่นกันจนหมด ม้าหนุ่มตัวนั้นนึกน้อยใจและเสียใจเป็นอย่างมาก

          “อ๊ะ อ้า เพราะเสียงที่แหบแห้งหาความไพเราะตรงไหนไม่ได้เลยของข้าอีกแล้วล่ะสินะ จึงทำให้พวกนกต่างตกใจจนบินหนีกันไปจนหมด เสียงร้องของเรามันช่างแสนที่จะห่วยเสียจริง” ม้าหนุ่มพูดอย่างเศร้าสลดใจ

          ม้าหนุ่มจึงได้ร้องขึ้นอีกครั้ง พยายามส่งเสียงให้ดังกว่าเดิม ทีนี้ก็วิ่งโร่ทยานออกไปข้างหน้าเต็มเหยียดอีกครั้ง ” บุ ฮี้ๆๆๆ ” แต่ก็เหมือนเดิมอีกนั้นแหละ คราวนี้เป็นพวกกระต่ายที่มารวมกลุ่มหาอาหารกันอยู่แถวๆ นั้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงร้องของม้าอย่างกระทันหันเข้าอย่างนั้น ก็พากันตกใจ แล้วกระโดดหนีให้จ้าระหวั่นเลยทีเดียว ม้าหนุ่มเมื่อมันเห็นดังนั้นเข้าอีก จึงพูดด้วยความน้อยใจขึ้นมาว่า “ว้า… แม้แต่พวกกระต่ายก็ยังตกใจหนีเราเลย ฮื้ๆๆๆ”

          ม้าหนุ่มนึกเกลียดเสียงที่แหบแห้งของมันเป็นอย่างมาก และในทุกๆ วันเมื่อพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าลงไป พระจันทร์ก็จะได้เวลาที่จะขึ้นมาส่องแสงสว่างไสวสวยงามอยู่กลางท้องฟ้า และในเวลานั้นที่ท้องทุ่งนาใกล้ชายป่าใหญ่ในเวลาค่ำคืน ทั่วทั้งบริเวณก็จะมีพวกจิ้งหรีดออกมาส่งเสียงร้องกันให้เจื้อยแจ้วเสียงดัง “ริน ริน ริน ๆๆๆๆ” สนั่นไพเราะเหมือนดนตรีที่บรรเลงยามค่ำคืนไปทั่วทั้งท้องทุ่งทั่วชายป่า

          และในขณะเดียวกันนั้น ม้าหนุ่มก็ไปหยุดยืนอยู่ที่บนเชิงเขาและฟังเสียงร้องของพวกจิ้งหรีดอยู่ด้วยความพึงพอใจเป็นยิ่งนัก

          “ทำอย่างไรเราถึงจะมีเสียงร้องที่แสนไพเราะเช่นนี้บ้างหนอ” ม้าหนุ่มรำพึงกับตนเอง และพร้อมกับได้ร้องถามพวกจิ้งหรีดออกไปว่า

          “สหายจิ้งหรีด” ม้าหนุ่มก้มหัวลง “ท่านกินอะไรเป็นอาหารประจำวันหรือ ? จึงได้มีเสียงร้องที่แสนไพเราะยิ่งนัก”

          “อาหารประจำวันของพวกเราน่ะหรือ ?” จิ้งหรีดได้ตอบคำถามของม้าหนุ่มพร้อมกันไปว่า “เป็นอาหารธรรมดาๆ ที่ในเวลาเช้ารุ่งอรุณของทุกๆ วัน พวกเราก็จะไปหากินหยาดน้ำค้างที่อยู่บนยอดใบหญ้าอ่อน เท่านั้นเองแหละท่าน”

          “อ๋อ กินหยาดน้ำค้างที่อยู่บนใบหญ้าอ่อนแค่นั้นเองน่ะหรือ ? เสียงถึงได้ไพเราะมากมายขนาดนั้นเลยทีเดียว คราวนี้เราจะได้มีเสียงร้องที่แสนจะไพเราะดุจเสียงร้องของพวกจิ้งหรีดบ้างหละ” ม้าหนุ่มรำพึงกับตนเอง ด้วยความดีใจ ที่มันได้ทราบความลับของพวกจิ้งหรีดครั้งนี้

          และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ม้าหนุ่มก็ได้ตัดสินใจที่จะเลิกกินหญ้าอ่อน เลิกกินน้ำและอาหารทั้งหมด หันมาตั้งหน้าตั้งตาเที่ยวหาเลียน้ำค้างที่อยู่บนใบหญ้าอ่อนและใบไม้ในยามเช้ารุ่งอรุณตลอดมา และก็แน่นอน ด้วยความที่ไม่ได้กินอาหาร ร่างกายของม้าหนุ่มจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา มันนั้นผอมลง ผอมลง จนเกือบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยทีเดียว แต่มันก็ยังคงพอใจที่จะกินแต่น้ำค้างที่อยู่บนใบหญ้าอ่อนอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งมันได้พูดขึ้นว่า

          “กินน้ำค้างอย่างเดียวมาก็นานแล้วนะ คงได้เวลาที่เสียงร้องของเราคงจะเปลี่ยนไปบ้างแล้วละ ไหนลองร้องดูทีซิ” แล้วม้าหนุ่มก็ตะเบ็งเสียงร้องออกมา

          ” บุ ฮื้ๆๆๆ เอ๋.. ไม่เห็นเปลี่ยนไปจากเดิมตรงไหนเลย นี่ยังแหบแห้งอยู่เหมือนเดิมเลย สงสัยคงจะยังกินน้ำค้างไม่พอละสินี่ ถ้าอย่างนั้นเราต้องอดทนกินให้มากกว่านี้เข้าไปอีก” ม้าหนุ่มเมื่อมันคิดได้ดังนั้น มันก็ยังคงที่จะหากินน้ำค้างอยู่อย่างเดิมและมากกว่าเดิมเข้าไปอีก ไม่ยอมหยุด

          และแล้วเมื่อเวลาผ่านมาอีกสักพัก ม้าหนุ่มได้พูดขึ้นอีกครั้งว่า

          “ได้เวลาที่เสียงร้องของเราคงจะเปลี่ยนไปและไพเราะขึ้นมาแล้วหละ ไหนลองร้องดูอีกทีซิ” มันจึงรวบรวมพลังของมันที่ดูเหมือนจะมีอยู่น้อยนิดนั้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่มันหารู้ไม่ว่าการตะเบ็งเสียงร้องของมันในครั้งนี้จะเรียกว่าเป็นครั้งสุดท้ายของมันเลยก็ว่าได้

          “บุ ฮื้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” และเมื่อสิ้นเสียงร้องของมันลงเท่านั้น มันก็ล้มฟุบลงไปนอนลงบนพื้นหญ้าอย่างหมดแรง ด้วยไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานาน ร่างกายผ่ายผอมหมดแรงและพลังใดๆ ทั้งสิ้น เพราะขาดอาหาร! และสุดท้ายมันก็ได้ขาดใจตายลงไปในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

            ” สิ่งใดที่ไม่ได้อยู่ในวิสัยของตน ถ้าไปฝืนกระทำสิ่งนั้นเข้า มันก็อาจที่จะเกิดโทษที่ร้ายแรงแก่ผู้ที่ฝืนกระทำได้ “

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

พ่อค้าเกลือกับลาขี้โกง

          กาลครั้งหนึ่ง มีพ่อค้าเกลือบรรทุกเกลือใส่หลังลาแล้วนำไปขายตามหัวเมืองต่างๆ อนู่เนืองๆ เรื่อยมา

          อยู่มาวันหนึ่งขณะที่เดินทางอยู่ เจ้าลาที่จำต้องเดินแบกถุงเกลืออยู่เต็มบนหลังของมันก็รู้สึกหนักและเหนื่อยอย่างที่สุด มันจึงนึกและบ่นว่า 

          “โอ้ย วันนี้ทำไมถึงรู้สึกว่าไกลและหนักอย่างนี้นะ” แต่พ่อค้าเกลือก็ยังคงเดินจูงเหมือนลากมันไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด

          วันนี้เขาจะต้องพามันข้ามห้วยแห่งหนึ่งไป เมื่อมาถึงห้วยแห่งนั้นแล้ว และขณะที่กำเดินข้ามอยู่ จะด้วยความหนักหรือความเหนื่อย ที่ทำเจ้าลามันเดินโย้ไปเย้มาเรื่อยเปื่ือยจนต้องก้าวขาเหยียบหินพลาดและพลัดตกหงายหลังลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในน้ำอย่างไม่เป้นท่า

          และกว่าที่เจ้านายของมันจะเข้ามาช่วยเหลือและลากมันขึ้นมาจากน้ำได้นั้น ก็พอดีกับที่เกลือที่บรรทุกมาในถุงบนหลัวมันนั้นก็มีอันต้องละลายไปกับสายน้ำจนหมดสิ้น

          “โอ้ย หมดกัน แย่แล้ว! ดูสิไอ้ลาบ้านี่ เห็นไหม? เกลือละลายไปจนหมดเลย” พ่อค้าเกลือบ่นอย่างหัวเสียแล้วหันมาดุมันอย่างมากมายหลายคำ

          แต่เจ้าลานั้นเมื่อมันขึ้นมาบนบกแล้ว ก็รู้สึกว่าหลังของมันเบาขึ้นอย่างมาก มันจึงนึกจำไว้ว่า ถ้าหากตกลงไปในน้ำแล้วจะทำให้ของที่บรรทุกบนหลังของมันเบาลงได้ มันนึกอย่างดีใจเป็นที่สุดซึ่งตรงกันข้ามกับเจ้านายของมัน

          แต่นั้นมา เมื่อพ่อค้าเกลือพามันบรรทุกเกลือไปขายอีก ทุกครั้งที่ผ่านลำคลองหรือหนองน้ำ เจ้าลาจะแกล้งล้มลงไปนอนในน้ำเสียทุกครั้ง และแน่นอนเกลือก็จะละลายไปกับสายน้ำ ทำให้เสียหายทุกคราวไป พ่อค้าเกลือต้องได้รับความเสียหายอย่างมาก

          พ่อค้าเกลือได้มานั่งตรึกตรองดูและเห็นว่าเจ้าลาตัวนี้นั้นมีนิสัยขี้โกงและแกล้งเขาอย่างแน่นอน เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้ จะทำการสั่งสอนให้เข็ดหลาบเสียแล้ว

          วันหนึ่งเขาจึงแกล้งเอานุ่นบรรทุกลงไปในถุงแทน และให้มีขนาดน้ำหนักเท่ากับเกลือ ฝ่ายเจ้าลานั้นไม่รู้ถึงอุบาย เมื่อไปถึงหนองน้ำ จึงเดินลงไปนอนในหนองน้ำอย่างเคย เมื่อนุ่นถูกน้ำก็อุ้มน้ำไว้ทำให้มีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เจ้าลาจึงรู้สึกหนักกว่าครั้งก่อนๆ พ่อค้าเกลือได้ทำเช่นนี้จนเจ้าลาขี้โกงตัวนั้นของเขาเข็ดและไม่กล้าลงไปนอนแช่น้ำอีกเลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”

ที่มา : นิทานอีสป จาก Msolution

ปลาใหญ่กับปลาเล็ก

          ในทะลเกว้างใหญ่ไพศาลนั้น ได้มีปลาตัวใหญ่ที่มีนิสัยตะกละตะกลาม โลภมาก และเห็นแก่ตัวที่สุดอยู่ฝูงหนึ่ง พวกมันจะจับกลุ่มรวมกันอย่างเหนียวแน่น คล้ายๆ กับพวกนักเลงประจำท้องทะเลแห่งนั้นก็ไม่ปาน ว่ายออกหาอาหารไปเรื่อยๆ พอเจอฝูงปลาที่ตัวเล็กกว่าก็จะตรงเข้าไปแกล้งและพูดจาเบ่งบารมีอยู่เสมอ

          “เจ้าปลาจิ๋ว เจ้าเคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กไหมล่ะ! ถ้าไม่อยากตายเร็วก็ถอยออกไปให้ไกลๆ พวกหอน, กุ้ง, ปู และอาหารที่มีอยู่ทั่วทั้งบริเวณนี้เป็นของพวกข้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์!”

          เจ้าปลาจิ๋วรีบตอบ “จ่ะ ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ ผู้ที่อ่อนแอย่อมต้องถูกกำจัด พวกเราเข้าใจดีจ่ะ” ว่าแล้วพวกเจ้าปลาจิ๋วทุกฝูงก็รีบว่ายหนีหลบไป ไม่มีใครกล่าต่อกรกับพวกปลาใหญ่เลย

          ปลาใหญ่นั้นนับวันก็ยิ่งเหิมเกริมบ้าอำนาจมากขึ้นทุกวัน และเมื่ออาหารนั้นหากินได้อย่างง่ายดายเพราะไม่มีใครกล้ามาแย่ง พวกมันเลยยิ่งตัวใหญ่ขึ้นและอ้วนขึ้น จนกลายเป็นปลายักษ์เข้าไปทุกทีๆ ตรงกันข้ามกับพวกปลาเล็กที่โดนแย่งพวกอาหารเสียหมด ไม่ค่อยได้กินอะไร จึงอยู่กันด้วยความหิวโซมาตลอด นับวันก็ยิ่งตัวเล็กลงๆ และผอมแห้งทุกตัวไป

          และแล้วก็อยู่วันหนึ่ง ได้มีชางประมงที่เห็นว่าแถวนี้มีปลาว่ายมารวมกันอยู่อย่างมากมาย จึงลงอวนเพื่อดักจับพวกปลาเหล่านั้น ฝูงปลาต่างๆ และเจ้าปลาใหญ่ฝูงนั้นก็เช่นกัน ด้วยไม่ทันระวังจึงติดอวนของชาวประมง พวกปลาต่างๆ ตกใจและพยายามว่ายหนีกันเป็นการใหญ่

          แต่ด้วยตัวพวกเจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายนั้นมันใหญ่มากอย่างกับยักษ์อย่างที่รู้ จึงไม่สามารถที่จะหนีไปทางไหนได้เลย จึงจำต้องติดไปกับอวนของชาวประมงไปอย่างน่าสงสาร ส่วนพวกปลาจิ๋วที่ผอมแห้งจึงสามารถหลุดรอดออกมาได้อย่างง่ายดาย

          เจ้าปลาจิ๋วเมื่อหลุดรอดออกมาได้ ก็ว่ายไปหาปลาใหญ่ที่ติดอวนอยู่และกำลังถูกยกขึ้นไปสู่ด้านบนอยู่นั้น แล้วพูดว่า

          “ปลาใหญ่เอ๋ย พวกท่านคืออาหารของคน แต่เราไม่ใช่ เราดีใจที่เราอ่อนแอกว่าท่าน”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “เล็กก็เล็กพริกขึ้หนู ในบางกรณีการยินยอมเป็นผู้ที่ด้อยกว่านั้น อาจพ้นภัยได้อยู่เหมือนกัน”

ที่มา : นิทานอีสป จาก Msolution

นกอินทรีเจ้าเล่ห์

          นกอนทรีกับสุนัขจิ้งจอกได้อาศัยอยู่ที่ใกล้ๆ บริเวณป่าเดียวกัน มันเคยให้สัญญาว่าจะป็นมิตรที่ดีต่อกัน นกอินทรีจะทำรับอาศัยอยู่บนยอดต้นไม้ ส่วนสุนัขจิ้งจอกนั้นก็ทำรังอาศัยอยู่ที่โคนต้นไม้ซึ่งเป็นโพรงเล็กๆ ต้นหนึ่ง

          วันหนึ่งนกอินทรีออกบินหาเหยื่อเพื่อจะนำกลับไปให้ลูกๆ ของมันไปทั่วๆ ป่า แต่วันนี้หาเท่าไหร่ๆ ก็ไม่ได้เหยื่ออะไรเลยสักอย่าง และพอดีตอนนั้นมันได้มองลงไปเห็นรังของสุนัขจิ้งจอกซึ่งสร้างเป็นโพรงไว้อยู่ที่ใต้โคนต้นไม้เข้า ลูกๆ ของสุนัขจิ้งจอกกำลังออกมาชะเง้อคอคอยแม่สุนัขจิ้งจอกที่ออกไปหาเหยื่อมาให้กับลูกๆ ของมันกินอยู่พอดีเหมือนกัน แม่นกอินทรีเมื่อมองลงไปและเห็นว่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกไม่อยู่ก็ดีใจ

          “แม่ของพวกมันไม่อยู่ มีแต่ลูกๆ ตั้งสามตัวแหนะ เอาไปสักตัวคงจะไม่เป็นไรหรอกนะ” มันคิดอย่างเจ้าเลห์และเห็นแก่ตัวว่าที่อยู่ของมันอยู่สูง สุนัขจิ้งจอกคงไม่มีปัญญาปีนป่ายขึ้นไปเอาลูกของมันคืนไปได้ รวมทั้งไม่มีทางที่จะทำอะไรมันได้อย่างแน่นอนเสียด้วย

           แล้วในขณะที่นกอินทรีกำลังบินถลาลงไปเพื่อจะเฉี่ยวเอาลูกสุนัขจิ้งจอกนั้น ก็พอดีกับเป็นเวลาที่เจ้าสุนัขจิ้งจอกได้คาลหนูตัวหนึ่งกลับมาที่โพลงของมันพอดี ลูกๆ ของสุนัขจิ้งจอกเมื่อเห็นแม่ของมันก็ร้องกันขึ้นด้วยความดีใจ

          “เย้ๆ แม่กลับมาแล้ว” แต่ในฉับพลัน! ทันทีก็มีเสียงตีปีกดังขึ้น พรึบ พรึบ! เป็นจังหวะที่นกอินทรีบินโผถลาร่อนลงมาตะครุบเฉี่ยวเอาลูกของสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งได้ แล้วมันก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปในทันที

          “อ๊ะ! ลูกแม่” เจ้าสุนัขจิ้งจอกเมื่อเห็นดังนั้นตกใจมาก จนหนูที่มันคาบอยู่ในปากนั้นล่วงตกลงมาจากปากเลยทีเดียว มันจับจ้องสายตาไปที่นกอินทรีอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาและวิ่งตามไปติดๆ อย่างไม่ลดละ จนถึงต้นไม้ที่เป็นรังของนกอินทรี

          “ได้โปรดคืนลูกให้กับฉันเถิด เธอมีลูกเหมือนกันไม่ใช่หรือ? นึกว่าเห็นแก่หัวหกแม่ด้วยกันเถิด” สุนัขจิ้งจอกเฝ้าคร่ำครวญร้องขอลูกคืนต่อนกอินทรีอย่างน่าเวทนา แต่นกอินทรีนั้นกลับตอบกลับมาอย่างจองหองที่สุดว่า

          “ลูกๆ ของฉันกำลังหิวกันจะแย่อยู่แล้ว แต่ถ้าเธออยากได้ลูกของเธอคืนล่ะก็ ปีนขึ้นมาเอาเองสิ ถ้าปีนขึ้นมาได้ฉันจะคืนให้” นกอินทรีพูดอย่างวางก้ามและท้าทาย

          ว่าแล้วสุนัขจิ้งจอกก็รีบตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อเอาลูกของมันคืนทันที แต่ไม่ว่ามันจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะปีนขึ้นไปได้

          “นี่ฉันจะทำยังไงดีล่ะ ลูกของฉันต้องโดนกินเป็นอาหารเสียแล้วหรือนี่” มันได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญปานน้ำตาจะเป็นสายเลือด และเมื่อมันหมดหนทางที่จะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ได้ มันจึงมองหาหนทางอื่นที่จะเอาลูกของมันคืนมาให้ได้ มันมองไปรอบๆ บริเวณ แล้วพลันมันก็ได้มองไปเห็นคบไฟที่มีคนจุดเอาไว้เข้า

          “อ๊ะ! นั้นไฟนี่ เมื่อร้องขอกันดีๆ ไม่คืนให้ ทีนี้ฉันก็ต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้วล่ะ” เมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้วก็วิ่งไปคาบเอาคบไฟที่มันเห็นนั้น แล้วตะโกนบอกกับนกอินทรีด้วยเสียงอันดังว่า

          “จงคืนลูกมาให้กับฉันเสียดีๆ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะเอาไฟนี่เผาต้นไม้ต้นนี้เสีย ทั้งเธอและลูกของเธอก็จะโดนย่างตายกันหมด” สุนัขจิ้งจอกพูดด้วยน้ำเสียงโมโห “เร็วๆ! รีบคืนลูกมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะเผาแล้วนะ! ได้ยินไหม?”

          นกอินทรีเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เพราะสำหรับมันแค่บินหนีเสียก็หมดเรื่อง แต่ลูกๆ ของมันเพิ่งจะแตกออกมาจากไข่เมื่อไม่นานและยังบินไม่ได้ มันจึงรีบตาเหลือกตาลานบอกกับสุนัขจิ้งจอกว่า

          “ยอมแล้วๆ ฉันยอมคืนลูกให้กับเธอแล้ว เดี๋ยวอย่าเพิ่งจุดไฟนะ” แล้วมันก็รีบคืนลูกของสุนัขจิ้งจอกไปแต่โดยดี

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

         “อันธพาลและพวกที่ชอบระรานผู้อื่นนั้น จะต้องมีวันถูกตอบแทนผลชั่วเข้าสักวันนึง”

ที่มา : นิทานอีสป จาก Msolution

นกอินทรีกับอีกา

          วันหนึ่ง ได้มีอีกาหิวโซตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่ที่บนต้นไม้ใกล้ๆ กับคอกเลี้ยงแกะแห่งหนึ่งเข้าอย่างบังเอิญ

         “อ๋า อ๋า อ้า วันนี้ข้ายังไม่ได้กินอะไรและไม่มีอะไรตกถึงท้องข้ามาตั้งแต่เช้าแล้วเนี่ย หิวจังเลย แถวนี้ไม่มีอะไรพอจะให้ใช้ยาไส้ได้เลยสักนิดเดียว เฮ้อ… หิว” มันพูดไปบ่นไปพลาง แล้าเอาปากไซร้ขนของมันไปพลางด้วยความขี้เกียจ แต่ตาของมันนั้นก็จ้องมองไปยังฝูงแกะที่กกำลังหากินและเล็มหญ้ากันอยู่ที่ทุ่งกว้างหน้าคอกเลี้ยงแกะนั้นฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ

          แล้วเผอิญในขณะนั้นก็ได้มีอินทรีตัวหนึ่งบินผ่านมา เมื่อมันแลเห็นลูกแกะตัวหนึ่งเดินอยู่ก็บินโฉบลงมาด้วยความไวและเฉี่ยวเอาลูกแกะทั้งตัวติดกรงเล็บของมันขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบน

          อีกาเมื่อเห็นเช่นนั้น มันก็นึกอิจฉานกอินทรีตัวนั้นขึ้นมาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว และที่สำคัญมันก็กำลังหิวอย่างหนักอยู่เสียด้วย

          “แหม… ช่างหน้าอิจฉาเจ้านกอินทรีมันเสียเหลือเกิน ใจกล้าโฉบแกะขึ้นไปได้ทั้งตัวเลยนะเนี่ย มันคงจะอิ่มท้องและสบายไปทั้งวัน” มันคิดและมองตามรกอินทรีที่โฉบลูกและกำลังบินหนีจนน้ำลายยืดเลยทีเดียว

           และเมื่อมันเริ่มคิด มันก็เลยคิดเข้าข้างตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ว่านกอินทรีตัวนั้นก็เป็นนกพวกพ้องเดียวกันเหมือนกับมัน มันต้องมีสิทธิ์ที่จะต้องทำได้ และเมื่อมันคิดได้ดังนั้นแล้วมันจึงบินตรงขึ้นไปสู่ท้องฟ้า บินสูงขึ้นไปจนสูงที่สุดเท่านที่มันจะทำได้ แล้วพุ่งถลาตรงแน่วลงมาที่กลางฝูงแกะด้วยความเร็วสูง

           และขณะที่มันบินถลาลงมานั้น มันก็ใช้สายตาของมันเลือกหาแกะที่ตัวใหญ่ที่สุด หมายจะกินให้อิ่มและหวังเหนื่อยทีเดียวตามนิสัยโลภมากของมัน มันจึงเลือกแกะที่ใหญ่และอ้วนที่สุดในฝูงแล้วพุ่งตรงเข้าไปโฉบทันใด และเอากรงเล็บอันน้อยนิดของมันจิกลงที่ของแกะไว้อย่างมั่นคง จนเล็บของมันติดแน่นและพันอยู่กับขนของแกะ

          มันพยายามที่จะบินและยกแกะขึ้นไปสู่เบื้องบนให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะแกะที่มันเลือกนั่นทั้งใหญ่และหนักมาก จะมีก็แต่เล็บของมันที่พันอยู่กับขนแกะนั้นแน่นขึ้นไปทุกทีๆ จนแกะไม่ออก

          ไม่นานคนเลี้ยงแกะก็มาเห็นเข้าแล้ววิ่งมาจับมันไว้ได้ เขาตีมันด้วยไม้จนน่วมไปหมดทั้งตัว แล้วเขายังขริบขนปีกของมันจนเหี้ยน เรียกว่าบินไปไหนไม่ได้อีกเสียแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ตกเย็นเขาก็ยังเอาไปให้ลูกเขาเล่น ลูกมันเห็นมันก็ถามว่า

          “พ่อจ๋านี่มันนกอะไรจ๊ะพ่อ” พ่อได้ตอบไปพลางนึกขำไปด้วยว่า “ถามมันดูสิลูก มันคงคิดจะตอบว่ามันเป็นนกอินทรีนะ แต่พ่อเองเห็นว่ามันเป็นอีกาชัดๆ เลยแหละ ฮ่าๆ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “รู้จักประมาณตน อย่าอวดเก่งอวดฉลาด และอวดพลังของตัวเองจนเกินตัวให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะเอาได้”

ที่มา : นิทานอีสป จาก Msolution

คนเลี้ยงแพะ

          ขณะที่พาฝูงแพะของตนไปหลบพายุในถ้ำ คนเลี้ยงแพะก็พบฝูงแพะป่าหลบอยู่ในถ้ำด้วยเช่นกัน

          “ฝูงแพะป่านี้เป็นฝูงใหญ่ มีแพะมากกว่าฝูงแพะของเราหลายเท่านัก เราน่าจะเอาแพะป่าฝูงใหญ่ไปเลี้ยงแทนฝูงเดิมดีกว่า” 

          เมื่อคนเลี้ยงแพะคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็นำเอาใบไม้ที่เตรียมมาไว้ให้ฝูงแพะเดิมของตนไปให้ฝูงแพะป่ากินจนหมด

          ครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงแพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไปตามธรรมชาติของมัน ฝูงแพะเดิมก็ตายกันหมดเพราะอดอาหาร

          คนเลี้ยงแพะจึงได้แต่นั่งร้องไห้ให้เพื่อนบ้านหัวเราะเยาะต่อไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

           ” เห็นเเก่มิตรใหม่จนทอดทิ้งมิตรเก่า สุดท้ายก็จะไม่เหลือใครเลย “

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

Tags: คนเลี้ยงแพะ, นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, แพะ

คนขี้เหนียวกับทองคำ

          ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้เหนียว เขามักจะเอาสมบัติฝังดินไว้รอบๆ บ้านไม่ยอมนำมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ 

          ต่อมาเขากลัวว่าจะไม่ปลอดภัยถ้าฝังเงินทองไว้หลายเเห่ง เขาจึงขายสมบัติทั้งหมดเเล้วซื้อทองคำเเท่งหนึ่งมาฝังไว้ที่หลังบ้าน เเล้วหมั่นไปดูทุกวัน

          คนใช้ผู้หนึ่งสงสัยจึงเเอบตามไปดูที่หลังบ้าน เเล้วเห็นเข้าก็ขุดเอาทองเเท่งไปเสีย

          ชายขี้เหนียวมาพบหลุมที่ว่างเปล่าในวันต่อมาก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปบอกเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เพื่อนบ้านจึงเเนะนำประชดประชันว่า

          “ท่านก็เอาก้อนอิฐใส่ในหลุมเเล้วคิดว่าเป็นทองคำสิ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่เอาเอามาใช้อยู่เเล้ว”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 

          “ของมีค่าถ้าไม่นำมาทำให้เกิดประโยชน์ ก็ย่อมเป็นของไร้ค่า”

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

Tags: คนขี้เหนียว, คนขี้เหนียวกับทองคำ, ทองคำ, นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป

คนกับเงาของลา

          เจ้าของลาเดินจุงลาออกจากนครเอเธนส์ ชายหนุ่มคนหนึ่งจึงเข้าไปหาพลางถามว่า “ข้าขอเช่าลาของท่านได้หรือไม่?” เจ้าของลายอมให้ชายหนุ่มเช่าลาขี่จากเอเธนส์มุ่งสู่อีกเมืองหนึ่ง ท่ามกลางอากาศกลางฤดูร้อนนั้นยิ่งร้อนจัดในยามเที่ยง ชายหนุ่มจึงลงจากหลังลามานั่งพักในร่มเงาของลา แต่ทว่าเจ้าของลาไม่ยอม เพราะอ้างว่าเขาขอเช่าแต่ลา มิได้เช่าเงาของลาด้วย ชายหนุ่มผู้ชายก็ไม่ยอม สองคนแย่งกันจะนุ่งในร่มเงาของลาจนถึงกับทะเลาะวิวาทและต่อยตีกันเป็นการใหญ่ ลาจึงฉวยโอกาสนั้นวิ่งหนีไปเป็นอิสระในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          ” เมื่อไม่ใช้สติและความรอมชอมต่อกัน ยอมเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย “

ที่มา :: นิทานอีสป จาก Msolution

Tags: คนกับเงาของลา, นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, ลา, เงาของลา

กาอยากเป็นหงส์

         กานั้นมีขนที่ดำสนิทและเป็นเงางาม แต่ทว่าพวกกากลับมิได้พึงพอใจในความเป็นตัวเอง

          พวกกาเห็นว่าหงส์นั้นมีขนสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ก็พากันนึกอิจฉา และอยากจะมีขนสีขาวเช่นนั้นบ้าง

          “สงสัยว่าคงเป็นเพราะหงส์ชอบลงสระไปอาบน้ำอยู่เสมอ และยังพำนักพักอาศัยอยู่ใกล้สระน้ำด้วย” กาตัวหนึ่งคาดคะเน

          กาอีกตัวหนึ่งจึงสนับสนุนว่า “นั่นน่ะสิ ถ้าพวกเราว่ายน้ำบ่อยๆ แล้วพักอยู่ใกล้สระน้ำ เราก็คงจะขาเหมือนหงส์นะ”

          เมื่อเห็นดีเห็นงามด้วยกันเช่นนั้น พวกกาก็พากันละทิ้งเทวสถานอันเป็นที่พำนักพักอาศัยมาตั้งแต่เดิม แล้วพากันอพยพไปอยู่ที่ริมสระน้ำ

          พวกกาชวนกันลงเล่นน้ำทุกวันและไซร้ขนเป็นประจำอย่างหงส์ แต่พวกมันก็มิได้มีขนที่ขาวขึ้นแต่อย่างใด

          กายังคงมีขนสีดำสนิทเช่นเดิม แต่ทว่ามันไม่อาจมีความสุขดังเดิม เพราะสถานที่ใหม่นั้นมิได้มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์เหมือนที่เคยอยู่ ดังนั้นพวกกาจึงอดตายกันหมดในเวลาต่อมา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

           “การหลงลืมธรรมชาติของตนนั้น แม้ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่เปลี่ยนสังคม แต่ก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนธรรมชาติดั้งเดิมของตนได้”

ที่มา : นิทานอีสป จาก Msolution

กาหลงฝูง

          เพราะความไม่พอใจในตัวเอง กาตัวหนึ่งจึงไปเก็นขนของนกยูงที่สลัดทิ้งไว้มาปักแซมใส่ขนของตนจนเต็มตัว ด้วยหวังจะมีขนหลากสีสันสวยงามอย่างนกยูงบ้าง

         ”ข้ามีขนงามกว่าขนดำๆ ของพวกเจ้า ข้าไม่อยู่กับพวกเจ้าดีกว่า” การังเกียจพวกพ้องของตนแล้วออกจากกลุ่มเข้าไปปะปนอยู่กับฝูงนกยูง

          พวกนกยูงเห็นกาหลงเข้ามาก็พากันรุมจิกตีจนขนนกยูงที่แซมอยู่ทั่วตัวนั้นหลุดกระจายไป เหลือแต่ขนจริงสีดำสนิท

          กาดำถูกนกยูงขับไล่ออกจากฝูง ครั้งกลับไปหาพวกของตนก็ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “ถ้ารังเกียจเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของตนเอง ก็ย่อมจะถูกผู้อื่นรังเกียจด้วย”

ที่มา : นิทานอีสป จาก Msolution

Tags: กา, กาหลงฝูง, นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, หลงฝูง