วิลเฮล์ม รืนต์เกิน (Wilhelm Konrad Roentgen) ผู้ค้นพบรังสีเอ็กซ์

          นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ “วิลเฮล์ม รืนต์เกิน” (Wilhelm Konrad Roentgen) เป็นผู้ค้นพบรังสีประหลาดที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการแพทย์และเพื่อนมนุษย์อย่างใหญ่หลวงโดยบังเอิญ และเป็นเจ้าของรางวัลโนเบล เมื่อปีค.ศ. 1901 โดยได้รับเหรียญรัมฟอร์ด ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุดในปี 1896 

          “วิลเฮล์ม คอนราด รืนต์เกิน” เกิดวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1845 ที่เมืองเลนเนปในโรน์แลนด์ เป็นบุตรคนเดียวของนักอุตสาหกรรมและการค้าผ้า เขาได้รับการศึกษาครั้งแรกในฮอลแลนด์และในซูริค เขาศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง และเป็นศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ในปี ค.ศ. 1902

          รืนต์เกินค้นพบรังสีเอ็กซ์โดยบังเอิญ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 1895 ขณะที่เขาทำการทดลองโดยเอากระดาษแข็งสีดำสนิทหุ้มหลอดแก้วไว้ไม่ให้แสงสว่างลอดเข้าออกได้ และส่งกระแสไฟฟ้าผ่านก๊าซต่างๆ ในหลอดแก้วพิเศษ ซึ่งถูกดูดเอาอากาศออก 

          ในวันหนึ่ง รืนต์เกินสังเกตว่าแม้หลอดจะถูกปกคลุมด้วยกระดาษสีดำ การแผ่รังสีบางอย่างสามารถจะส่งผ่านออกมาได้และทำให้ฉากที่วางอยู่ใกล้สว่างขึ้น รืนต์เกินไม่สามารถมองเห็นว่ามีอะไรออกมาจากหลอด แต่เขาค้นพบว่า ถ้าเขาวางฉากในห้องถัดไปซึ่งอยู่คนละด้านและปิดประตู รังสีก็ดูเหมือนจะมีผลต่อฉาก ดังนั้นรังสีไม่เพียงแต่สามารถผ่านทะลุกระดาษดำเท่านั้น ยังผ่านไม้ไปได้ด้วย

          สิ่งต่อมาที่เขาค้นพบคือ ถ้าเขาวางมือกั้นระหว่างรังสีและแผ่นถ่ายภาพ รังสีจะบันทึกเงาของโครงกระดูกของมือเขาบนแผ่นถ่ายภาพนั้น แสดงว่ารังสีนี้สามารถส่องผ่านเนื้อของเขาเช่นเดียวกับที่ส่องผ่านกระดาษดำ

          รืนต์เกินทดลองดูอีกภายใน 2 – 3 นาที ก็หายสงสัย เขาจึงประกาศการค้นพบของเขาโดยให้ชื่อแสงนี้ว่า “รังสีเอ็กซ์” ตั้งแต่รืนต์เกินพบรังสีเอ็กซ์มาจนถึงปัจจุบัน รังสีนี้ได้อำนวยประโยชน์ให้แก่มนุษย์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะวงการแพทย์ ซึ่งค้นพบว่านอกจากรังสีเอ็กซ์จะช่วยให้แพทย์ใช้ประโยชน์ในการตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะภายในของคนไข้แล้ว รังสีนี้อาจจะใช้ได้ผลในการบำบัดโรคมะเร็งและกำจัดความเติบโตผิดปกติของเซลล์บางจำพวกด้วยเหมือนกัน นอกจากวงการแพทย์แล้ว รังสีเอ็กซ์ยังใช้ประโยชน์ในวงการอุตสาหกรรม วิศวกรรม การสืบสวน และวงการวิทยาศาสตร์หลายสาขาด้วยกัน 

          วิลเฮล์ม คอนราด รืนต์เกิน ผู้ค้นพบสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์แก่มวลมนุษย์อย่างมหาศาล ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1913 ด้วยโรคมะเร็ง

ที่มา : บุคคลสำคัญของโลก จาก Msolution

Tags: ผู้ค้นพบรังสีเอ็กซ์, รังสีเอ็กซ์, วิลเฮล์ม คอนราด รืนต์เกิน, วิลเฮล์ม รืนต์เกิน

คาโรลัส ลินเนียส (Carolus Linnaeus) บิดาแห่งการจำแนกพฤกษศาสตร์

          “คาโรลัส   ลินเนียส” (Carolus Linnaeus) ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจำแนกพฤกษศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยขจัดความสับสนในการจัดหมวดหมู่ของพืช จนเกิดชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และนักพฤกษศาสตร์ทั่วโลกมีความเข้าใจตรงกัน

          เขาได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ของสวีเดนให้เป็นอัศวินแห่งดาวเหนือ (Knight of Polar Star) เป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ได้รับเกียรตินี้ เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1707 ในเมืองเล็กๆ ทางใต้ของสวีเดน โดยมีบิดาเป็นหมอสอนศาสนาและต้องการให้เขาดำเนินรอยตาม แต่เขากลับสนใจเรื่องพืชในสวนที่บ้านของตนเอง

          ต่อมาไม่นานเขาก็ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยอุปซาลา เมื่อจบมาแล้วก็เป็นอาจารย์สอนเรื่องพฤกษศาสตร์ ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีการจัดหมวดหมู่ที่แน่นอนของพืช เพราะยังไม่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์เหมือนในปัจจุบัน เขาเป็นคนที่มีระเบียบเขาจึงได้จัดระบบจำแนกพืช เพื่อให้คนทั่วโลกใช้ร่วมกันได้ เขาแบ่งแยกพืชเป็นพวกๆ โดยยึดเอาจำนวนของเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกไม้แต่ละชนิด และจัดแบ่งตามลำดับระหว่างจำนวนตามสัดส่วนของเกสรตัวเมียของดอกไม้แต่ละชนิด จากนั้นก็จะแบ่งตามตระกูลของพืช บนพื้นฐานของความแตกต่างของส่วนย่อย

          เขาได้ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮัมเบอร์ก ประเทศเยอรมนี อยู่ระยะหนึ่ง เพื่อศึกษาการสะสมพืชของนักพฤกษศาสตร์ที่มีชื่อเสียง และได้เข้าศึกษาทางด้านแพทย์ที่ฮอลแลนด์ต่อ จนได้ปริญญาทางการแพทย์ จากนั้นจึงเดินทางกลับสวีเดนและเริ่มอาชีพทางแพทย์อยู่หลายปี ก่อนจะกลับไปเป็นศาสตราจารย์ทางพฤกษศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอุปซาลา และได้เขียนตำราเกี่ยวกับการตั้งชื่อพืชในปี 1753 ซึ่งยังคงใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน

          เขาถึงแก่กรรมในปี 1778 ที่อุปซาลา  เมื่ออายุได้ 71 ปี

ที่มา : บุคคลสำคัญของโลก จาก Msolution

Tags: การจำแนกพฤกษศาสตร์, คาโรลัส ลินเนียส, ชีวประวัติบุคคลสำคัญ, ชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์, นักพฤกษศาสตร์, บิดาแห่งการจำแนกพฤกษศาสตร์, บุคคลสำคัญ, บุคคลสำคัญของโลก, พฤกษศาสตร์, อัศวินแห่งดาวเหนือ

ไก่ฟ้ากับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

          สุนัขจิ้งจอกเจ้าเลห์ตัวหนึ่งเดินผ่านมาเห็นไก่ฟ้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้สูงข้างทาง มันอยากจะกินไก่ฟ้าเป็นยิ่งนัก จึงคิดหาอุบายแล้วเอ๋ยขึ้นว่า

          “ไก่ฟ้าเอ๋ย ท่านช่างเป็นสัตว์ที่งดงามนัก ปีกของท่านมีสีสันสดใส ปากก็งดงามไม่เหมือนใคร อยากรู้จักว่าถ้าท่านหลับตาแล้วยังจะงามอยู่หรือไม่ ?”

          ไก่ฟ้าได้ฟังคำยกยอก็หลงเคลิบเคลิ้ม รีบหลับตาอวดทันที สุนัขจิ้งจอกก็รีบฉวยโอกาสนั้นกระโดดงับตัวไก่ฟ้าไว้ได้

          เมื่อไก่ฟ้าพลาดท่า แต่ก็ยังมีสติ จึงเอ๋ยขึ้นว่า

          “จิ้งจอกเอ๋ย ก่อนตายข้าอยากฟังเสียงอันไพเราะท่านเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม ?”

          สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำป้อยอก็หลงกล รีบอ้าปากเห่าคำราม ไก่ฟ้าจึงรีบบินหนีจากไปทันที

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “คำยกยอปอปั้นทำให้คนหลงเคลิบเคลิ้ม จนไม่ระวังตนได้เสมอ”

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

ใครจะเอากระพรวนไปแขวนคอแมว

          หนูฝูงหนึ่งทำรังและอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งในบ้านหลังนั้นก็ได้เลี้ยงแมวตัวใหญ่ตัวหนึ่งเอาไว้เสียด้วย ในทุกๆ วันมันจะตั้งหน้าตั้งตาจับหนูที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นกินเป็นอาหารอยู่เสมอๆ เรียกว่าไหนจะปราบก็ต้องปราบให้เรียบเป็นหน้ากองยังไงอย่างงั้น

          จนในที่สุดพวกหนูทั้งหลายตัองให้เป็นเดือดเนื้อร้อนใจ พวกมันจึงได้มารวมกลุ่มและมานั่งปรึกษาหารือกันว่า

          “เห็นทีพวกเราต้องหยุดออกหากินเสียแล้ว เพราะไม่งั้นพวกเราจะต้องถูกเจ้าแมวตัวนั้นจับกินกันหมด จนไม่เหลือสักตัวอย่างแน่นอน ไหนพวกเราลองมาช่วยกันคิดทีซิว่า พวกเราจะทำอย่างไรกันดี” พวกหนูในบ้านเหล่านั้นทุกตัวก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับความคิดอันนี้ และต่างก็พยายามช่วยกันคิดเพื่อที่จะหาหนทางกันให้จงได้

          ชั่วครู่ก็ได้มีหนูหนุ่มรู้มากตัวหนึ่งได้ออกความคิดเห็นขึ้นมาว่า “ข้าคิดออกแล้วล่ะว่าพวกเราจะทำอย่างไร ฟังนะ… ก็ให้ใครตัวใดตัวหนึ่งเอากระพรวนไปแขวนคอแมวเอาไว้ก็สิ้นเรื่อง เพราะเสียงของกระพรวนจะช่วยเตือนให้พวกเรารู้เวลาที่เจ้าแมวตัวนั้นจะมาอยู่ที่ใกล้ๆ แล้วพวกเราก็จะได้มีเวลาเตรียมตัวที่จะหนีและหลบอยู่แต่ในรูไม่ออกไปเดินเพ่นพล่านข้างนอก รอจนกว่าเจ้าแมวมันจะพ้นไปที่อื่นไกลๆ แล้ว พวกเราถึงค่อยออกมาข้างนอกไง ข้าว่าความคิดนี้ดีเป็นที่สุดเลยว่าไหม ? ว่าไหมล่ะ ?”

          พวกหนูทุกตัวเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ต่างเห็นด้วยและลงความคิดเห็นกันว่า “วิเศษ! นั่นเป็นวิธีการที่ฉลาดที่สุดที่พวกเราจะต้องทำให้ได้” ไม่มีหนูตัวไหนเลยที่จะไม่เห็นด้วยกับความคิดอันนี้ ต่างก็เห็นพร้องตัองกันว่าอย่างนั้น

           ”แต่ว่าใครเล่าจะเป็นผู้เอากระพรวนไปแขวนคอแมวล่ะ ?” หนูตัวที่อาวุโสที่สุดที่อยู่ในที่นั้นได้ตั้งคำถามขึ้น และมันก็ยังได้พูดออกตัวออกมาเสียด้วยอีกว่า “ข้ามันหละก็แก่เกินไป แล้วข้านั้นวิ่งเร็วนักก็ไม่ได้ ดังนั้นข้าก็ขอบอกก่อนว่าขอสละสิทธิ์ และที่สำคัญข้านั้นไม่กล้าพอหรอกที่จะรับอาสาเป็นคนทำ”

          “งั้นก็ตกเป็นหน้าที่ของพวกเราน่ะซิ” หนูตัวอื่นๆ เปรยขึ้น “แต่พวกเรายังเล็กเกินไป” หนูตัวเล็กๆ บางตัวก็ออกตัวบ้าง

          หนูอาวุโสจึงหันไปถามเจ้าหนูหนุ่มตัวที่ออกความคิดว่า “แล้วเจ้าเล่าว่าไง กล้าหรือปล่าวล่ะ ?”

          เจ้าหนูหนุ่มตัวที่ออกความคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าเศร้าแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่กล้าเหมือนกัน ใครจะกล้าล่ะ น่ากลัวออก”

          ลงท้ายก็ไม่มีหนูตัวไหนที่จะกล้าอาสาทำ ดังนั้นกระพรวนก็ไม่ได้ถูกนำไปแขวนที่คอแมว และแมวก็ยังคงไล่จับหนูกินได้อยู่เรื่อยไปอย่างเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “บางสิ่งบางอย่างพูดนั้นมันเหมือนง่าย แต่ทำนั้นมันยาก”

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

แม่กบกับวัว

 

          ณ บึงแห่งหนึ่ง มีแม่กบขี้อิจฉาอยู่ตัวหนึ่ง จะมีนิสัยที่เห็นใครดีกว่าตนแล้วก็จะรู้สึกไม่ชอบใจ จะต้องหาทางข่มว่าตนนั้นเหนือกว่าอยู่เสมอ ลูกๆ ของกบก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของตนเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร แต่ด้วยนิสัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็มักจะตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ

          อยู่มาวันหนึ่ง ลูกๆ ของกบตัวนั้นได้แอบหนีไปนอนเล่นอยู่ที่บึงแห่งหนึ่งที่ไกลออกไป แล้วพวกมันก็ได้เห็นวัวตัวหนึ่งมากินน้ำอยู่ใกล้ๆ กับบึงที่พวกตนได้แอบมานอนเล่นอยู่นั้น พวกลูกกบรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้เห็นสัตว์ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของมัน พวกลูกกบด้วยความตื่นเต้นจึงรีบกลับไปหาแม่และรีบเล่าเรื่องราวที่พวกตนได้เห็นมานั้นให้ฟังอย่างตื่นเต้นด้วยสุดที่จะระงับได้

          “แม่ๆ เมื่อตะกี้นี้นะ ที่บึงฝั่งโน้นน่ะ มีสัตว์อะไรก็ไม่รู้ ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลยหละ ตัวใหญ่มากกก ใหญ่จริงๆ ฮะ ฮะ ฮะ” แม่กบเมื่อมันเห็นลูกๆ ตื่นเต้นแบบสุดๆ อย่างนั้น ก็ให้เป็นรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเป็นอย่างมาก จึงบอกกับลูกว่า

          “นี่ๆ ลูก ไม่มีสัตว์ตัวไหนที่จะใหญ่ไปกว่าท้องที่เป่าจนพองของแม่ไปได้หรอกเชื่อสิลูกเอ๋ย” บอกลูกแล้วแม่กบก็เบ่งท้องของมันจนป่องกลมแล้วตะโกนถามลูกว่า

          “ดูแม่นี่ ตัวแม่ใหญ่เท่ากับสัตว์ที่พวกเจ้าเห็นมาหรือยัง ?” ลูกกบทำมือเปรียบเทียบแล้วบอกกับแม่ว่า

          “แม่เอาอะไรมาพูดจ๊ะ ตัวแม่ทั้งตัวยังเล็กกว่าเท้าของมันเลย” แม่กบจึงโกรธและด้วยแรงอิจฉามันยิ่งพยายามเบ่งท้องของมันให้ใหญ่ขึ้นไปอีก ใหญ่ขึ้นๆๆ แล้วถามพวกลูกๆ ขึ้นอีกว่า

          “นี่ล่ะ เท่านี้ล่ะ ใหญ่เท่าหรือยัง ?” แต่พวกลูกๆ ก็ยังตอบว่า “ยังเลยแม่ ใหญ่กว่านี้อีก”

          แม่กบเมื่อได้ยินลูกบอกว่ายังไม่ใหญ่เท่าที่เห็นพอ มันจึงรวบรวมพลังเข้าไปอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้งเบ่งท้องของมันอย่างสุดกำลังเกิดเลยทีเดียว เรียกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่มันได้พองลมครั้งที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของมันก็ว่าได้

          “โอบ โอบ นี่ล่ะเป็นไง ? ใหญ่กว่าแล้วใช่ไหม ?” ลูกกบก็ยังส่ายหัวตอบว่า “แม่จ๋า เปลืองแรงเปล่าๆ ยังไงๆ ก็เล็กกว่าจ๊ะ”

          แม่กบหน้าเขียวและคิดไม่ยอมแพ้ แต่ท้องที่พองจนเต็มที่นั้นไม่สามารถที่จะขยายต่อไปได้อีกแล้ว จึงแตกดังโพล๊ะ ลูกกบก็ส่ายหัวและพูดตามประสาซื่อว่า

          “แหวะ ท้องแม่นอกจากจะไม่ใหญ่แล้ว ยังแตกเป็นรูน่าเกลียดจัง พวกเราปล่อยให้แม่เบ่งของแกต่อไปอย่างนั้นเถอะ” แล้วลูกกบก็พากันชวนพี่ๆ น้องๆ ไปแหวกว่ายน้ำในบึงกันต่อไป

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

           ” ตนต้องรู้จักประมาณตน อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างเป็นเช่นแม่กบที่เบ่งท้องจนแตกตายอย่างในนิทานเรื่องนี้นะคะ “

ที่มา : http://www.warraphat.ac.th

แกะกับหมาป่า

          หมาป่ากล่าวกับฝูงแกะว่า “การที่เราต้องเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมานานเช่นนี้ ก็เพราะว่าสุนัขที่เฝ้าพวกเจ้านั่นแหละเป็นมือที่สาม คอยเห่าคอยยุให้เราสองฝ่ายต้องเป็นศัตรูกัน ถ้าไม่มีสุนัขพวกนี้เราก็ต่างอยู่อย่างสงบสุข พวกข้าไม่ต้องไล่กัดเจ้า และพวกเจ้าไม่ต้องคอยหนีข้า เรามาเป็นมิตรกันดีกว่านะ”

          หมาป่าเจรจาหว่านล้อมจนพวกแกะเห็นดีด้วย โดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน ฝูงแกะก็ตัดสินใจขับไล่พวกสุนัขเฝ้าฝูงแกะไปเสียหมด

          หลังจากนั้น เมื่อไม่มีสุนัขเฝ้าแกะ พวกหมาป่าก็พากันเข้าไล่จับแกะกินเป็นอาหารได้อย่างสะดวกสบาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “ถ้าไว้วางใจคนเคยเป็นศัตรูมากกว่าคนเคยช่วยเหลือกัน ก็ย่อมได้รับแต่โทษภัย”

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

Tags: นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, หมาป่า, แกะ, แกะกับหมาป่า

หมาป่าเป่าปี

          ขณะที่ฝูงแกะกำลังหากินกันอยู่ที่ในกลางท้องทุ่งใกล้ป่าใหญ่นั้น ก็ได้มีลูกแกะตัวหนึ่งเดินพลัดหลงและแตกฝูงออกมาตัวหนึ่ง ลูกแกะตัวนั้นเดินเล่นไปอย่างเพลิดเพลินจนหลงเดินถลำเข้าไปในชายป่าลึกไม่มากนัก พอดีตอนนั้นก็ได้มีหมาป่าตัวหนึ่งได้เดินออกมาจากในป่าลึก มันหมายมุ่งหน้าไปยังท้องทุ่ง เแล้วเมื่อมันได้มองไปและได้เห็นลูกแกะที่เดินหลงจากฝูงออกมาตัวเดียวอย่างนั้นเข้า มันให้เป็นดีใจยิ่งนักที่อยู่ๆ ก็ได้มีลาภปากอันโอชะเดินมาให้มันกินอย่างง่ายดายแบบนั้น

          “นั่นมันลูกแกะหลงแตกออกมาจากฝูงนี่ แหม…ช่างน่ากินจังแฮะ อย่างนี้ก็หวานคอแร้งน่ะสิ หึหึหึ” มันว่าแล้วก็ย่างสามขุมตรงเข้าไปหมายจะขย้ำจับกินให้หายหิวซะหน่อย

          ลูกแกะเมื่อเห็นเช่นนั้นมันให้เป็นตกใจเป็นอย่างมาก และด้วยต้องจนมุมและจนหนทาง มันคิดว่าจะวิ่งหนีย่อมไม่ทันอย่างแน่นอน มันนั่งตัวสั่นและพยายามหันมาใช้ความคิด ทันใดมันได้ร้องตะโกนบอกกับหมาป่าว่า

          “อย่าเพิ่งจับข้ากินตอนนี้เลยนะท่าน เพราะข้าเพิ่งกินหญ้าเข้าไปหยกๆ เมื่อสักครู่นี้เอง ยังไม่ย่อยและกลายเป็นเนื้ออร่อยๆ อย่างที่ท่านชอบกินหรอก” ลูกแกะพยายามหว่านล้อม “เอาอย่างนี้ไหม จริงหรือไม่? ข่าวเล่าลือแพร่สะพัดไปทั่วท้องทุ่งกว้างว่าท่านนั้นเป่าปี่ได้ไพเพราะจับใจเสียเหลือเกิน เราอยากขอความกรุณาจากท่านให้ช่วยเป่าปี่ให้เราฟังด้วยเถิด เราจะได้เต้นรำเพื่อออกกำลังกายสักนิดให้หญ้าที่อยู่ในท้องของเราเมื่อสักครู่นี้มันจะได้ย่อยเร็วๆ และกลายเป็นเนื้ออร่อยๆ ให้ท่านกินสมใจไง เพราะไหนๆ เราก็จะต้องโดนท่านกินอยู่แล้ว เราไม่อยากให้ท่านผิดหวังนะเนี่ย”

          เจ้าหมาป่าหยุดใช้ความคิด ก่อนที่มันจะตอบออกมาว่า “ได้สิเจ้าแกะน้อย ก่อนจะตายเจ้าจะได้ฟังเพลงปี่อันไพเราะจับใจของข้า”

          แล้วมันก็หยิบปี่คู่ชีพของมันออกมา แล้วลงนั่งสองขาเอาหลังพิงขอนไม้ใหญ่ นั่งยองๆ เป่าปี่ให้ลูกแกะตัวนั้น เต้นรำ ” ปี้ จา ระ…ปี้ จา ระ…” มันพยายามเป่าปี่ให้เข้าทำนองและเสียงดังที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ เพื่อให้ลูกแกะเต้น เนื้อจะได้อร่อยๆ อย่างลูกแกะมันว่านั่นแหละ ดูสิมันเชื่อจริงๆ ด้วย

          ส่วนลูกแกะนั้นก็พยายามเต้นรำให้เข้ากับจังหวะเสียงปี่ “โอ้ เก่งมากท่านหมาป่า เก่งจริงๆ เป่าอีกเป่าให้ดังขึ้นไปอีกสิท่าน นี่เนื้อของเรากำลังเริ่มจะอร่อยขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วนะ”

          เจ้าหมาป่าเริ่มมามันกับการเป่าปี่เสียแล้ว มันรวบรวมพลังอย่างเต็มที่แล้วตั้งหน้าตั้งตาเป่าปี่จนสุดเสียงเลยทีเดียวเชียว “ปี้ จา ระ…ปี้ จา ระ…ปี้ จา ระ…ปี้ จา ระ…ปู้ ๆๆๆ”

          เสียงปี่ดังระงมสนั่นลั่นออกไปจนทั่วทั้งทุ่งกว้าง ครั้นคนเลี้ยงแกะและสุนัขล่าเนื้อที่กำลังเดินตามหาลูกแกะตัวที่พลัดหลงออกมาจากฝูงอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงปี่ก็เอะใจ 

         “เอ๊ะ นั่นมันเสียงปี่นี่! ใครมาเป่าปี่แถวๆ นี้นะ” ครั้นเมื่อเขากับสุนัขล่าเนื้อวิ่งตามเสียงปี่มาอย่างเร็วรี่ ก็ได้เห็นว่าหมาป่ากำลังยืนเป่าปี่อยู่ โดยมีลูกแกะที่แตกฝูงออกมาตัวที่เขากำลังตามหาอยู่กำลังเต้นรำอยู่ตรงหน้าหมาป่าเข้าอย่างนั้น เขาตกใจจึงรีบตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า

          “โอ๊ะ อ้ายหมาป่า หยุดนะ! นั่นมันลูกแกะของข้าว๋อย เร็วพวกเอ็งไล่ตามกัดมันเลย เร็ว!” ว่าแล้วเขาก็หันมาออกคำสั่งให้สุนัขล่าเนื้อของเขาให้รีบไปกัดเจ้าหมาป่าทันที

             สุนัขล่าเนื้อเมื่อได้รับคำสั่งก็เห่าเสียงดังและออกวิ่งเพื่อไล่กวดทันที แต่ก่อนที่เจ้าหมาป่าจะจำเป็นที่จะต้องสวมวิญญานนักวิ่งเหรียญทองด้วยความจำเป็นไปเสียแล้วนั้น มันก็ได้พูดกับลูกแกะหัวดีตัวนั้นว่า

          “เจ้าแกะน้อย ข้าโดนเจ้าหลอกเข้าให้เต็มเปาเสียแล้ว เวรเอ้ย!” หมาป่าร้องตะโกนก้อง พร้อมกับออกวิ่งเพื่อหนีสุนัขล่าเนื้อจนสุดฝีเท้า

          “สมน้ำหน้าตัวตัวเอง ก็ข้าเป็นเพียงหมาป่า มีหน้าที่เพียงเห่าหอนและจับสัตว์กินเป็นอาหารเท่านั้น แต่นี่กลับเผยอหน้ามานั่งเป่าปี่ให้เจ้าแกะฟังเสียอีก สมควรอย่างยิ่งแล้วที่ข้าจะต้องวิ่งหนีเขา โฮ โฮ ๆๆๆๆ”

 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 

 

          “การกระทำสิ่งที่ไม่ใช่ภารกิจและเป็นวิสัยของตนนั้น ย่อมเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เสียผลประโยชน์ของตนเองขึ้นมาได้เหมือนกัน”

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

หมาป่าหน้าโง่

         

.

.

.

.

          ลาตัวหนึ่งขณะกำลังกินหญ้าอยู่ที่กลางทุ่งอย่างเพลิดเพลิน แต่มันก็ต้องตกกระใจอย่างที่สุดเมื่อมันมองไปเห็นหมาป่าดุร้ายตัวหนึ่งเข้า และเจ้าหมาป่าตัวนั้นก็กำลังวิ่งตรงเข้ามาหาหมายจะจับมันกินเป็นอาหารและด้วยเจ้าลาตัวนี้มันเป็นลาที่สมองดีนั่นเอง มันจึงแสร้งทำเป็นว่าเท้าเจ็บแล้วแกล้งก้าวเขยกขาหลังของมันค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างสมจริงสมจังมากเสียด้วย

          หมาป่าที่วิ่งมาถึงหมายจะกระโดดตะครุบแต่เมื่อมันเห็นอาการเดินเขยกขาของลาเข้าเช่นนั้น ก็จึงเกิดความสงสัยขึ้นมาติดหมัดเลยทีเดียว มันจึงหยุดแล้วตะโกนถามออกไปว่า

          “นั่นเจ้าเป็นอะไรน่ะ ? ทำไมถึงเดินขาเขยกอย่างนั้นเล่า” ลาหัวหมอแข็งใจตอบไปว่า

          “เมื่อสักครู่นี้ข้ากระโดดข้ามพุ่มไม้แล้วไปเหยียบเอาหนามแหลมเข้า นี่หนามมันยังติดฝังฝ่าเท้าของข้าอยู่เลย เออแน่ะ! เมื่อเจ้าจะกินข้าก็กินเถอะข้ายอม แต่สงสัยว่าเจ้าคงต้องเอาหนามที่ฝ่าเท้าหลังของข้านี้ออกเสียก่อนจะดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหนามมันจะเลยเข้าไปตำคอหอยเจ้าตอนกินข้าได้ก็ไม่รู้นะ” 

.

.

          เมื่อได้ยินลาว่าดังนั้น เจ้าหมาป่าที่ดุร้ายแต่สมองทึบก็เกิดเห็นด้วยขึ้นมา มันจึงยกเท้าหลังข้างที่เขยกของลาขึ้นดู หมายจะดึงหนามออกเสียก่อนแล้วค่อยกิน แต่ขณะที่มันกำลังมองสำรวจหาหนามอยู่นั้นเอง ลาก็เลยได้จังหวะและใช้เท้าหลังข้างนั้นดีดลูกหลังโดนปากหมาป่าอย่างเต็มแรง ผลก็เลยทำให้ฟันในปากของเจ้าหมาป่าหักไปหลายซี่เลือดแดงกลบปากเลยทีเดียว เจ้าหมาป่าจำต้องทรุดลงนั่งร้องโอดครวญไปมา และตอนนั้น ลาหัวหมอก็เลยถือโอกาสออกวิ่งหนีไปจากที่นั้นทันที

          “สมน้ำหน้าข้าแล้ว !” หมาป่าพูด “ข้ามันไม่ดีเอง มีหน้าที่อย่างเดียวคือไล่ฆ่าสัตว์กินเป็นอาหาร แต่คราวนี้ดันมาทำตัวเป็นหมอรักษาโรค ถุย ! สมน้ำหน้าตัวข้าเสียจริงๆ” 

.

.

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

.

          “ผู้ที่ชอบสอดรู้ในเรื่องที่ตนไม่น่าที่จะรู้ในบางครั้ง ก็มักจะต้องเจ็บตัวและเสียผลประโยชน์ง่ายๆ อย่างตัวอย่างที่ว่ามานี่แหละ”

.

.

.

.

.

.

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :: http://www.thaigoodview.com

Tags: นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, หน้าโง่, หมาป่า, หมาป่าหน้าโง่

สิงโตโลภมากกับกระต่ายป่า

          ที่แอฟริกากลางป่าใหญ่ สิงโตหิวโซตัวหนึ่งได้เดินหาเหยื่อของมันไปเรื่อยๆ ด้วยความหิวโหย แล้วขณะนั้นมันก็ได้พบกับกระต่ายป่าตัวหนึ่งเข้า   

         “ช่างน่ากินเหลือเกินเจ้ากระต่ายเอ๋ย” มันตั้งท่าแล้ววิ่งตามกวดกระต่ายป่าตัวนั้นจนทัน และเมื่อกระต่ายป่าจนมุม สิงโตหิวโซตัวนั้นก็จ้องจะจับกินกระต่ายตัวนั้นทันที         

         แต่ขณะเดียวกันนั้น ก็ได้มีกวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา        

          “อ๊ะ! นั่นมันกวางนี่ เจ้ากวางตัวนั้นจะเป็นอาหารมื้อใหญ่ของฉันทีเดียว” สิงโตรำพึง         

          ดังนั้นมันจึงปล่อยให้กระต่ายหลุดรอดไป แล้วมันเองก็วิ่งกวดตามกวางไปทันที แต่กวางตัวนั้นวิ่งได้เร็วมาก เร็วเสียจนในไม่ช้ามันก็ลับหายไป         

          เมื่อสิงโตเห็นหมดหวังจะตามกวางได้ทัน มันก็ว่า “กลับไปกินกระต่ายยดีกว่า”        

          แต่เมื่อมันกลับมาที่ๆ ซึ่งเมื่อกี้ที่มันได้ต้อนกระต่ายจนจนมุมนั้น มันได้พบว่ากระต่ายได้หนีหายไปเสียแล้ว        

          “โธ่เอ๋ย ฉันน่าจะกินกระต่ายเสียก่อนตั้งแต่ตอนที่พบมันเมื่อแรกแล้ว” สิงโตคร่ำครวญ “นี่เป็นเพราะฉันโลภมากเกินไป ผลสุดท้ายก็เลยไม่ได้กินอะไรเลย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “คนที่ฉลาดในบางครั้งก็ต้องรู้จักพอ ในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว”

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

ม้ากับลาต่าง

          ในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวมากของวันหนึ่ง พ่อค้าคนหนึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องนำของไปขายที่ต่างเมือง เขาคิดจะถนอมม้าเอาไว้ใช้เมื่อถึงคราวที่มีความจำเป็นเท่านั้น จึงเอาสินค้าทั้งหมดใส่ไว้บนหลังลา ส่วนม้านั้นเขากลับปล่อยให้เดินตัวเปล่า ไม่ได้บรรทุกของอะไร

           ลาเมื่อถูกบรรทุกของหนักๆ และตอนนั้นก็กำลังป่วยอยู่ด้วย มันจึงพูดอย่างสงสารกับม้าว่า

          “ท่านม้าๆ ข้ามีอะไรจะขอร้องให้ท่านช่วยสักอย่างจะได้ไหม ?” ม้าเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็หันมามองแล้วทำท่าฟังอย่างไม่ค่อยที่จะเต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่ลาก็พูดต่อไปว่า

          “ข้าไม่สบาย ช่วยแบ่งของไปจากหลังข้าบ้างเถิด ข้าไปไม่ไหวแล้ว ถ้าท่านไม่ช่วยข้าคงจะต้องตายเป็นแน่แท้” แต่ม้ากลับตอบกลับมาอย่างโมโหว่า

          “ช่างป็นเรื่องที่บ้าบอคอแตกอะไรเช่นนี้ เจ้าพูดมาได้อย่างไร เจ้าไม่รู้หรือไงว่าขาที่สำคัญของข้านี่น่ะมีเอาไว้สำหรับวิ่งให้เร็วแต่เพียงอย่างเดียว ถ้าเกิดข้ามาช่วยเจ้าแบกของหนักๆ อย่างนั้น แล้วขาของข้าเกิดฟกช้ำดำเขียวขึ้นมา ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ! เจ้าทนๆ ไปอีกหน่อยเถิด อย่าบ่นนักเลย”

          ลาจึงไม่พูดอะไรต่อไปอีก อุตส่าห์เดินต่อไป ในไม่ช้ามันก็หมดแรงล้มลงและขาดใจตายไปตรงนั้น เจ้าของเมื่อเห็นดังนั้น ก็แก้เอาสินค้าที่อยู่บนหลังลาทั้งหมดเอามาใส่ไว้บนหลังม้า เท่านั้นยังไม่พอ ยังแถมเอาศพของลาบรรทุกเพิ่มเข้าไปให้อีกด้วย ม้าจึงจำต้องเดินไปบ่นไปว่า

          “พุทโธเอ๋ย เรานี่ชั่วเสียจริงๆ ถ้ารู้จักเห็นอกเห็นใจเจ้าลาช่วยมันสักครั้งหนึ่ง บางทีมันอาจไม่ต้องมาตายไปเสียอย่างนี้ แล้วเราตองมาบรรทุกของหนักอย่างเดียวไม่พอ ต้องบรรทุกศพของเจ้าลาเพิ่มเข้าไปอีก ซวยบรมไปเลยเห็นไหมล่ะ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

          “คนที่ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือความทุกข์ของผู้อื่น ทุกข์นั้นก็อาจจะมาตกกับตัวเองบ้างดังนี้แล”

ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion

Tags: นิทาน, นิทานสอนใจ, นิทานอีสป, ม้า, ม้ากับลาต่าง, ลาต่าง