กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีม้าหนุ่มที่มีนิสัยร่าเริงมากอยู่ตัวหนึ่ง ทุกๆ วันในเวลาเช้ามันมักจะส่งเสียงร้อง ” บุ ฮื้ๆๆๆ ” ด้วยเสียงอันดัง และพร้อมกันนั้นก็จะวิ่งด้วยความเร็วอย่างมากไปตามสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆ อย่างสนุกสนาน แต่ว่าด้วยเสียงที่แสนจะแหบแห้งของมันมักจะเป็นเหตุทำให้พวกนกเล็กๆ ที่มารวมกลุ่มเกาะกันอยู่แถวๆ บริเวณนั้น และรวมทั้งที่หาอาหารกันอยู่ในพุ่มไม้ต่างๆ พากันตกใจและบินหนีไปที่อื่นกันจนหมด ม้าหนุ่มตัวนั้นนึกน้อยใจและเสียใจเป็นอย่างมาก
“อ๊ะ อ้า เพราะเสียงที่แหบแห้งหาความไพเราะตรงไหนไม่ได้เลยของข้าอีกแล้วล่ะสินะ จึงทำให้พวกนกต่างตกใจจนบินหนีกันไปจนหมด เสียงร้องของเรามันช่างแสนที่จะห่วยเสียจริง” ม้าหนุ่มพูดอย่างเศร้าสลดใจ
ม้าหนุ่มจึงได้ร้องขึ้นอีกครั้ง พยายามส่งเสียงให้ดังกว่าเดิม ทีนี้ก็วิ่งโร่ทยานออกไปข้างหน้าเต็มเหยียดอีกครั้ง ” บุ ฮี้ๆๆๆ ” แต่ก็เหมือนเดิมอีกนั้นแหละ คราวนี้เป็นพวกกระต่ายที่มารวมกลุ่มหาอาหารกันอยู่แถวๆ นั้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงร้องของม้าอย่างกระทันหันเข้าอย่างนั้น ก็พากันตกใจ แล้วกระโดดหนีให้จ้าระหวั่นเลยทีเดียว ม้าหนุ่มเมื่อมันเห็นดังนั้นเข้าอีก จึงพูดด้วยความน้อยใจขึ้นมาว่า “ว้า… แม้แต่พวกกระต่ายก็ยังตกใจหนีเราเลย ฮื้ๆๆๆ”
ม้าหนุ่มนึกเกลียดเสียงที่แหบแห้งของมันเป็นอย่างมาก และในทุกๆ วันเมื่อพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าลงไป พระจันทร์ก็จะได้เวลาที่จะขึ้นมาส่องแสงสว่างไสวสวยงามอยู่กลางท้องฟ้า และในเวลานั้นที่ท้องทุ่งนาใกล้ชายป่าใหญ่ในเวลาค่ำคืน ทั่วทั้งบริเวณก็จะมีพวกจิ้งหรีดออกมาส่งเสียงร้องกันให้เจื้อยแจ้วเสียงดัง “ริน ริน ริน ๆๆๆๆ” สนั่นไพเราะเหมือนดนตรีที่บรรเลงยามค่ำคืนไปทั่วทั้งท้องทุ่งทั่วชายป่า
และในขณะเดียวกันนั้น ม้าหนุ่มก็ไปหยุดยืนอยู่ที่บนเชิงเขาและฟังเสียงร้องของพวกจิ้งหรีดอยู่ด้วยความพึงพอใจเป็นยิ่งนัก
“ทำอย่างไรเราถึงจะมีเสียงร้องที่แสนไพเราะเช่นนี้บ้างหนอ” ม้าหนุ่มรำพึงกับตนเอง และพร้อมกับได้ร้องถามพวกจิ้งหรีดออกไปว่า
“สหายจิ้งหรีด” ม้าหนุ่มก้มหัวลง “ท่านกินอะไรเป็นอาหารประจำวันหรือ ? จึงได้มีเสียงร้องที่แสนไพเราะยิ่งนัก”
“อาหารประจำวันของพวกเราน่ะหรือ ?” จิ้งหรีดได้ตอบคำถามของม้าหนุ่มพร้อมกันไปว่า “เป็นอาหารธรรมดาๆ ที่ในเวลาเช้ารุ่งอรุณของทุกๆ วัน พวกเราก็จะไปหากินหยาดน้ำค้างที่อยู่บนยอดใบหญ้าอ่อน เท่านั้นเองแหละท่าน”
“อ๋อ กินหยาดน้ำค้างที่อยู่บนใบหญ้าอ่อนแค่นั้นเองน่ะหรือ ? เสียงถึงได้ไพเราะมากมายขนาดนั้นเลยทีเดียว คราวนี้เราจะได้มีเสียงร้องที่แสนจะไพเราะดุจเสียงร้องของพวกจิ้งหรีดบ้างหละ” ม้าหนุ่มรำพึงกับตนเอง ด้วยความดีใจ ที่มันได้ทราบความลับของพวกจิ้งหรีดครั้งนี้
และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ม้าหนุ่มก็ได้ตัดสินใจที่จะเลิกกินหญ้าอ่อน เลิกกินน้ำและอาหารทั้งหมด หันมาตั้งหน้าตั้งตาเที่ยวหาเลียน้ำค้างที่อยู่บนใบหญ้าอ่อนและใบไม้ในยามเช้ารุ่งอรุณตลอดมา และก็แน่นอน ด้วยความที่ไม่ได้กินอาหาร ร่างกายของม้าหนุ่มจึงค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา มันนั้นผอมลง ผอมลง จนเกือบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยทีเดียว แต่มันก็ยังคงพอใจที่จะกินแต่น้ำค้างที่อยู่บนใบหญ้าอ่อนอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งมันได้พูดขึ้นว่า
“กินน้ำค้างอย่างเดียวมาก็นานแล้วนะ คงได้เวลาที่เสียงร้องของเราคงจะเปลี่ยนไปบ้างแล้วละ ไหนลองร้องดูทีซิ” แล้วม้าหนุ่มก็ตะเบ็งเสียงร้องออกมา
” บุ ฮื้ๆๆๆ เอ๋.. ไม่เห็นเปลี่ยนไปจากเดิมตรงไหนเลย นี่ยังแหบแห้งอยู่เหมือนเดิมเลย สงสัยคงจะยังกินน้ำค้างไม่พอละสินี่ ถ้าอย่างนั้นเราต้องอดทนกินให้มากกว่านี้เข้าไปอีก” ม้าหนุ่มเมื่อมันคิดได้ดังนั้น มันก็ยังคงที่จะหากินน้ำค้างอยู่อย่างเดิมและมากกว่าเดิมเข้าไปอีก ไม่ยอมหยุด
และแล้วเมื่อเวลาผ่านมาอีกสักพัก ม้าหนุ่มได้พูดขึ้นอีกครั้งว่า
“ได้เวลาที่เสียงร้องของเราคงจะเปลี่ยนไปและไพเราะขึ้นมาแล้วหละ ไหนลองร้องดูอีกทีซิ” มันจึงรวบรวมพลังของมันที่ดูเหมือนจะมีอยู่น้อยนิดนั้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่มันหารู้ไม่ว่าการตะเบ็งเสียงร้องของมันในครั้งนี้จะเรียกว่าเป็นครั้งสุดท้ายของมันเลยก็ว่าได้
“บุ ฮื้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” และเมื่อสิ้นเสียงร้องของมันลงเท่านั้น มันก็ล้มฟุบลงไปนอนลงบนพื้นหญ้าอย่างหมดแรง ด้วยไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานาน ร่างกายผ่ายผอมหมดแรงและพลังใดๆ ทั้งสิ้น เพราะขาดอาหาร! และสุดท้ายมันก็ได้ขาดใจตายลงไปในที่สุด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
” สิ่งใดที่ไม่ได้อยู่ในวิสัยของตน ถ้าไปฝืนกระทำสิ่งนั้นเข้า มันก็อาจที่จะเกิดโทษที่ร้ายแรงแก่ผู้ที่ฝืนกระทำได้ “
ที่มา : นิทานสอนใจ จาก Msoltion